Tuesday, December 04, 2007

รูปที่มีทุกบ้าน

พรุ่งนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ ในหลวงจะครบรอบ 80ชันษา ดูรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับพระองค์ท่านตลอด ดูไปร้องไห้ไป ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน คิดถึงบ้าน ดูมิวสิควีดีโอเพลง "รูปที่มีทุกบ้าน" ก็ร้องไห้ ถ้าไม่ใช่คนไทย คงไม่ซาบซึ้ง หรือเข้าใจ ว่าทำไมถึงร้องไห้ บางครั้งไม่แน่ใจว่า มีคนอื่นที่ร้องไห้ไหม เลยเข้าไปอ่านกระทู้ ปรากฎว่ามีหลายคนเขียนบอกว่า ดูวีดีโอเพลง "รูปที่มีทุกบ้าน" ก็ร้องไห้ โซเฟียร้องเพลงไทยได้บ้าง ก.เอ๋ย ก.ไก่ ช้าง แปรงเอ๋ยแปรงฟัง ลอยกระทง พยายามเพิ่มเพลงให้โซเฟีย เคยเริ่มให้ร้องเพลง เด็กเอ๋ยเด็กดี ก็ยังไม่สำเร็จ เกือบปีแล้วที่โซเฟียยังไม่ได้ร้องเพลงไทยใหม่อีกเลย คิดอยู่ว่าจะลองให้ร้องเพลงรูปที่มีทุกบ้าน แต่อาจจะยากไปสำหรับเด็กวัยห้าขวบชาวนอร์เวย์ อาศัยในประเทศนอร์เวย์ แต่ขอลองให้โซเฟียร้องดู ก่อนอื่นแม่ คือดิฉันเองต้องร้องให้ได้ก่อน

ตั้งแต่เล็กยังเคยได้ถามแม่ว่า บนข้างฝาบ้านเรานั้นติดรูปใคร ที่แม่คอยบูชาประจำก่อนนอนทุกคืนจะต้องไหว้ แม่ตอบว่าให้กราบรูปนั้นทุกวัน ท่านเป็นเทวดาที่มีลมหายใจ ที่เรายังพอมีกินอย่างวันนี้ ท่านดูแลคนไทยมานานเหลือเกิน ให้จำไว้ เป็นรูปที่มีทุกบ้าน จะรวยหรือจนหรือว่าจะใกล้ไกล เป็นรูปที่มีทุกบ้าน ด้วยความรัก ด้วยภักดี ด้วยจิตใจ เติบโตมากี่สิบปีที่ผ่าน ภาพที่เห็นคือท่านทำงานทุกวัน เมื่อไรเราทำอะไรที่เกิดท้อ แค่มองดูรูปบนข้างฝาจะได้กำลังใจ จากรูปนั้น เป็นรูปที่มีทุกบ้าน จะรวยหรือจนหรือว่าจะใกล้ไกล เป็นรูปที่มีทุกบ้าน ด้วยความรัก ด้วยภักดี ด้วยจิตใจ จะขอตามรอยของพ่อ ท่องคำว่าเพียงและพอจากหัวใจ เป็นลูกที่ดีของพ่อ ด้วยความรัก ด้วยภักดี จะขอตามรอยของพ่อ ท่องคำว่าเพียงและพอจากหัวใจ เป็นลูกที่ดีของพ่อ ด้วยความรัก ด้วยภักดี จะขอตามรอยของพ่อ ท่องคำว่าเพียงและพอจากหัวใจ เป็นลูกที่ดีของพ่อ ด้วยความรัก ด้วยภักดี ด้วยความรัก ด้วยภักดี ตลอดไป…

Monday, October 29, 2007

โซเฟีย 5 ขวบ

โซเฟีย 5 ขวบ ฤดูใบไม้ร่วง ปี 2550 ใส่เสื้อกันหนาวตัวใหม่ เป็นของขวัญจากปู่ โซเฟียตะโกนใส่ท้องฟ้าเพื่อได้เสียงสะท้อนกลับ

Wednesday, August 01, 2007

วันนี้วันเกิด ไอ้สวย หลานรักของอาจันทร์

อาจันทร์โทรไปที่มือถือพี่พลอยเมื่อเวลาประมาณ 6โมงเย็นเมืองไทย พลอยเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ นัดว่าให้โทรไปใหม่ เวลา 3 ทุ่มเมืองไทยจะได้คุยกับสวย Happy Birth Day To YOU! อายุเท่าไรแล้ว 13 หรือ 14 วันนี้เป็นวันมงคลวันเกิด ไม่อยากพูดเรื่องที่ไม่รื่นรมย์ แต่เปลี่ยนใจ อยากให้พวกเรารู้จักปลง จริงๆ แล้ว อาจันทร์จะโทรไปเช้ากว่านี้ ไม่ใช่ 6 โมงเย็น แต่ว่าวันนี้ไปงานฝังศพสามีของเพื่อนคนไทยที่นี่ กลับมาจากงานประมาณเกือบบ่ายก็รีบโทรไปหา เดี่ยวมาเขียนต่อหลังได้โทรคุยกับหลานรัก

ได้คุยกับไอ้สวยแล้ว เรานัดกันว่าจะโทรคุยกันทุกวันอาทิตย์เว้นอาทิตย์เวลา 3ทุ่มเมืองไทย เสียงหลานสาววัย 13ปี ผ่านโทรศัพท์แก่มากกกกก

คุณเกษมสุข ภมรสถิตย์ ไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตา

ได้รับเมล์ส่งต่อจากเพื่อนชาวไทยในต่างแดน เห็นว่าเป็นเรื่องน่าอ่าน มีหลักธรรม สามารถใช้เตือนสติได้ เมื่ออ่านแล้วก็นึกย้อนถึงตนเองว่า มีสติที่อ่อนบ่อยครั้งมาก ทำให้ใจโวยวายตีโพยตีพายตลอดเวลา ใกล้จะ 7ปี แล้ว ที่อาศัยอยู่ที่นอร์เวย์ ที่ผ่านมาอยากกลับบ้านตลอดเวลา เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2550 กลับจากเมืองไทยครั้งล่าสุดซึ่งเป็นครั้งพิเศษ ไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านตามปรกติ แต่ไปเพื่องานเผาศพพี่ชายคนรอง อยู่ๆ ใจก็นิ่งลงเยอะ เงินที่มี(ไม่มาก) ก็อยากใช้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เฉพาะส่วนตัวของครอบครัว แต่เป็นส่วนรวมของครอบครัวใหญ่ นึกคิดขันๆ ขึ้นมา ใครมาไล่ให้กลับเมืองไทย ก็ไม่กลับแล้วตอนนี้ ไม่ใช่ว่าเมืองไทยไม่ดี หรือแย่กว่า 7ปีที่ผ่านมา แต่ใจมันรับได้เท่านั้นแหละ เขียนยาวไปกว่านี้อาจต้องเปลี่ยนหัวข้อเป็นคุณวงศ์จันทร์ กันทา แทน คุณเกษมสุข ภมรสถิตย์ ลองอ่านเรื่องนี้ดู

ไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตา
คุณจะรู้สึกอย่างไร หากทั้งชีวิตมีแต่เรื่องร้ายๆ หนักๆ
ประดังประเดเข้ามา ตั้งแต่เกิดก็เกือบจมน้ำตาย โตขึ้นก็สูญเสียแม่
พ่อป่วยหนัก มีน้องๆ ต้องดูแลหลายคนทั้งๆ ที่ยังเรียนไม่จบ
ครั้นแต่งงานก็มีลูกพิการ สุดท้ายสามีก็ทิ้ง แล้วยังมาเจอ
เนื้องอกที่มดลูกผ่าตัดลำไส้เหลือแค่ครึ่งเดียว จากนั้นก็ถูกรถชน
กระดูกคอหัก รอดตายแล้วก็ไปเจออุบัติเหตุรถยนต์อีก แขนหัก
สองท่อน และตับแตก
อายุไม่ถึง ๕๐ แต่กระดูกผุราวคน ๘๐ แล้วยังไม่รู้ว่าจะเจอ
อุบัติเหตุอีกกี่ครั้ง เจอแบบนี้แล้ว
คุณยังคิดอยากอยู่อยากยิ้มให้กับชีวิตนี้อีกหรือ?

แต่สำหรับคุณเกษมสุข ภมรสถิตย์ ชีวิตนี้ไม่เคยเลวร้ายเกินทน
เธอยังยิ้มให้กับชีวิตได้เสมอ ไม่รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหรือหวั่นหวาด
อนาคตเพราะมั่นใจว่าพรุ่งนี้ย่อมดีกว่าวันนี้
พูดอย่างคนโบราณ ชีวิตของเธอเหมือนกับเกิดมาเพื่อรับกรรม
ลืมตาดูโลกได้ไม่ถึง ๒ เดือน พี่เลี้ยงก็ทำหลุดมือตกน้ำ เกือบจะหลุดเข้า
ไปใต้โป๊ะท่าน้ำ แต่เดชะบุญมีคนคว้าไว้ได้ทัน ทั้งน้ำและน้ำมันเข้าปาก
พออายุได้ ๘ ขวบก็จมน้ำอีก ผุดขึ้นมาครั้งที่ ๓ พ่อถึงเห็นและ
เกี่ยวขึ้นมาได้ทัน จมน้ำปางตาย ๒ ครั้งทำให้ร่างกายอ่อนแอ เจอแดด
ร้อนๆ ไม่ได้ มีอันต้องเป็นลม ร้องไห้ประเดี๋ยวเดียวก็เป็นลมสลบ
จนใครๆ หาว่าสำออย

เรียนมหาวิทยาลัยแค่ปี ๒ แม่ก็เสีย พ่อทำใจไม่ได้
ช็อคหัวใจวายกลายเป็นคนป่วยนับแต่นั้น บ้านก็ถูกยึดเพราะเป็นหนี้
อายุแค่ ๑๙ ปี เธอกลายเป็นกำลังหลักคนเดียวของครอบครัว
ที่ต้องหาเงินมาเลี้ยงพ่อและน้องๆ ทั้ง ๕ คน ไม่ได้หดหู่ท้อใจใน
ชะตากรรมเป็นความรู้สึกของเธอในตอนนั้น โดยหารู้ไม่ว่า
เคราะห์กรรมยังจะตามมาอีกมาก
เธอแต่งงานก่อนวัยเบญจเพศ เมื่อคลอดลูกก็พบว่าลูกพิการ
เพราะหมอใช้คีมคีบหัวออกมาอย่างไม่ถูกต้อง สมองจึงเติบโตได้
ไม่เต็มที่ หมอทำนายว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมาก ๙ ปี แต่เธอก็เลี้ยงดู
เอาใจใส่จนลูกอายุ ๒๐ กว่าแล้ว

คลอดลูกมาได้ปีกว่า ก็พบว่าเป็นเนื้องอกที่มดลูก ปรากฏว่า
หมอตัดส่วนที่ดีทิ้งไป จึงต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้มดลูก
ที่เหลือถูกตัดทิ้งหมดรวมทั้งรังไข่ด้วย ทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมน
ครั้นกินฮอร์โมนทดแทนก็แพ้ เลยเป็นโรคกระดูกผุนับแต่บัดนั้น
เท่านั้นยังไม่พอ ระหว่างผ่าตัด โรคกระเพาะเกิดกำเริบ
จนตัวบวมเขียวหมอต้องเปิดท้องตัดลำไส้จนเหลือเพียงครึ่งเดียว
อายุไม่ถึง ๒๖ เธอก็มีอวัยวะไม่ครบเหมือนคนปกติ แถมมี
ลูกพิการที่เสี่ยงต่อความตาย แม้เธอจะรักษาชีวิตของตนและของลูกได้
แต่แล้วก็ต้องสูญเสียสามี ชีวิตครอบครัวที่มีแต่ปัญหาทำให้เธอกับเขา
ตัดสินใจแยกทางกัน

เจออย่างนี้แล้ว เธอยังทำใจได้ ไม่คิดโทษใครหรือน้อยใจในชีวิต
เคราะห์กรรมยังซ้ำเติมไม่จบ ราวกับจะทดสอบจิตใจของเธอ
วันหนึ่งขณะที่รถติดไฟแดง ก็มีรถเมล์เบรกแตกวิ่งมาชนรถ
ของเธอ แรงกระแทกทำให้กระดูกคอของเธอซึ่งผุอยู่แล้วหักทันที
และไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาต เดชะบุญที่สามารถรักษาให้
หายได้ หลังจากนอนแน่นิ่งในโรงพยาบาลเกือบ ๒ เดือน
หลังจากครั้งนั้นแล้ว ก็เจออุบัติเหตุอีก รถของเธอเลี้ยวโค้งแล้ว
ไปชนกับเสาไฟฟ้า กระดูกที่แขนของเธอหักออกจากกัน ห้อยร่องแร่ง
แถมยังถูกก้านเกียร์ทิ่มใต้ชายโครงขณะช่วยคนขับหักพวงมาลัยหลบ
คอสะพาน ผลก็คือตับแตก

เธอยังต้องเจออุบัติเหตุอีกหลายครั้ง แม้แต่วันที่ไปออกรายการ
“เจาะใจ” ก็ยังมีรถยนต์มาชนท้ายกระเทือนที่คอและหลัง แต่เธอก็ยัง
บอกว่าไม่เป็นไร ทนได้ ต่อเมื่อถ่ายทำรายการเสร็จแล้ว จึงไปให้หมอ
ตรวจและรักษาที่โรงพยาบาล
วันนี้เธออายุ ๕๒ และไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้าอีก แต่เธอก็ยัง
มีขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิต
คงมีไม่กี่คนในโลกนี้ที่เจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่หยุดหย่อน
อย่างคุณเกษมสุข ยกเว้นคนที่เจอภัยสงครามหรืออดอยากหิวโหย
ปางตายแล้วจะมีสักกี่คนที่ลำบากลำเค็ญเท่าเธอ

แต่แปลกไหมที่เธอไม่รู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อนกับชีวิตที่
เต็มไปด้วยเคราะห์กรรมเลย ถ้าชะตากรรมมีจริง เธอเป็นคนหนึ่ง
ที่ย้ำเตือนว่าเราสามารถเอาชนะชะตากรรมได้ ไม่ได้ชนะที่ไหน
หาก “ชนะที่ใจ” นั่นเอง
ชีวิตของเธอบอกให้เรารู้ว่า คนเราจะทุกข์หรือไม่
ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรมากระทบกับเรา แต่อยู่ตรงที่เรารู้สึก
อย่างไรกับสิ่งนั้น หรือทำอย่างไรกับมันต่างหาก แม้จะมีเรื่อง
ร้ายๆ เกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเราทำใจรับได้ ความทุกข์ก็เกิดขึ้นไม่ได้

ในทางตรงกันข้าม แม้มีเงินทองไหลมาเทมา แต่ถ้าเรา
คิดว่ามันน้อยเกินไป ทำให้รวยไม่พอหรือไม่เท่าคนอื่น เมื่อนั้นใจ
เราก็เป็นทุกข์ทันที
หลายครั้งที่ความเดือดร้อนของคุณเกษมสุขเกิดขึ้นจาก
ฝีมือคนอื่นแท้ๆ เช่น หมอที่ใช้คีมคีบหัวลูกแรงเกินไป ตัดมดลูก
ผิดข้าง แม้แต่รถจอดนิ่งอยู่ก็ยังมีรถคนอื่นมาชน ข้างหน้าบ้าง
ข้างหลังบ้าง แต่เธอไม่เคยเสียเวลาไปโทษคนอื่น เล่นงานเขา หรือ
ก่นด่าชะตากรรม หากคิดเพียงว่า จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
อย่างไร และรักษาใจให้เป็นปกติได้อย่างไร

ตอนที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเพราะกระดูกคอหัก
หมอเอาเหล็กแหลมเจาะเข้าไปในกระโหลกทั้ง ๒ ข้าง เพื่อป้องกัน
ไม่ให้คอเขยื้อนขยับ เธอเจ็บมาก แต่เห็นว่าถ้าตนใจเสีย หมอและ
น้องๆ ก็ใจเสียไปด้วย
เธอเลือกที่จะทำใจให้ปกติ ไม่ตีโพยตีพาย เพราะ “ถ้าต้นตอ
ไม่ตีโพยตีพายเสียก่อน คนรอบข้างก็อยู่ได้และกำลังใจนั้น
มันก็จะถูกส่งกลับมาที่เราอีกที”
ไปๆ มาๆ ปรากฏว่า คนป่วยกลับมีจิตใจสบายกว่า
คนมาเยี่ยมเสียอีก จนกลายเป็นที่ปรับทุกข์ให้แก่คนรอบข้าง

แต่เธอไม่ใช่พระอิฐพระปูน ฟังเรื่องพวกนี้มากๆ ก็ทุกข์
ได้ง่ายๆ ทางออกของเธอก็คือ “จับ(คนมาเยี่ยม) นั่งสมาธิเสียเลย
จะได้ไม่มีเวลาพูดเรื่องอะไรที่มันร้อนใจ” กลายเป็นว่าคนป่วยกลับ
เป็นที่พึ่งทางจิตใจให้แก่คนปกติ แทนที่จะตรงกันข้าม
สิ่งสำคัญที่ประคองใจไม่ให้ทุกข์ร้อนไปกับเหตุร้ายก็คือ
“สติ” สติอ่อนเมื่อไหร่ ใจก็จะโวยวายตีโพยตีพาย โทษคนโน้นคนนี้
จนลืมจัดการกับตนเอง ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนอื่นใด
น้องๆ คุณเกษมสุขเล่าว่า

ตอนเกิดอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้า คุณเกษมสุขโทรศัพท์
บอกที่บ้านอย่างเรียบๆ ธรรมดาว่า “ไม่เป็นไร แต่คิดว่าตับแตก”
สติเท่านั้นที่จะทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นเบา อย่างน้อยก็ไม่ทำให้
เลวร้ายลงไปอีก ทั้งยังช่วยให้เราแก้ไขสถานการณ์ด้วยปัญญาอย่าง
สอดคล้องกับความเป็นจริง
ใครที่คิดว่าตัวเองทุกข์หนักหนาสาหัสแล้ว ลองนึกถึงชีวิต
ของคุณเกษมสุข อาจจะได้คิดว่าตนนั้นยังโชคดีอยู่มากเมื่อเทียบ
กับเธอ แต่เท่านั้นยังไม่พอ น่าจะได้คิดต่อไปอีกด้วยว่า สุขทุกข์นั้น
แท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ถึงจนก็สุขได้
ถึงป่วยก็ยิ้มได้

แม้จะพลัดพรากสูญเสียแค่ไหน ก็ยังมีสิทธิแช่มชื่น
แจ่มใสได้แต่ถ้าทำใจไม่เป็นเสียแล้ว รวยแค่ไหน มีอำนาจมาก
เพียงใด ทรวดทรงงดงามเพียงใด ก็ยังทุกข์อยู่นั่นเอง
จะเจออะไรมาก็แล้วแต่ ข้อสำคัญประการสุดท้ายก็คือ
อย่ายอมแพ้ต่อชะตากรรม อย่าปล่อยใจไปกับความลำเค็ญ
ความล้มเหลว และความเศร้าโศกท้อแท้ ในยามร้ายไม่มีอะไรดีกว่า
การปลุกใจให้อดทน เข้มแข็ง สดชื่น และเปี่ยมด้วย
ความหวังว่าพรุ่งนี้ย่อมดีกว่าวันนี้

******
เมื่อได้อ่านเรื่องของคุณเกษมสุข ก็ทำให้คิดว่าคนอะไรโชคร้ายจัง อยากเขียนเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ถ้าแม้นชีวิตคุณเกษมสุขไม่ได้อยู่เมืองไทย แต่เป็นประเทศนอร์เวย์แทนหละ อะไรที่ว่ายากเย็นเข็ญใจ ก็จะง่ายขึ้นมาบ้าง ขอยกตัวอย่างตามเนื้อเรื่อง
แม่เสีย พ่อทำใจไม่ได้ ช็อคหัวใจวายกลายเป็นคนป่วยนับแต่นั้น พ่อก็จะได้เงินช่วยเหลือจากรัฐเงินพ่อหม้าย
อายุแค่ ๑๙ ปี เธอกลายเป็นกำลังหลักคนเดียวของครอบครัวที่ต้องหาเงินมาเลี้ยงพ่อและน้องๆ ทั้ง ๕ คน พ่อได้เงินพ่อหม้าย ส่วนน้องๆ และตัวเธอเอง ก็สามารถกู้เงินเรียนเอง จากรัฐ สอบผ่านเงินกู้ 40เปอร์เซ็นกลายเป็นทุกการศึกษา ไม่ต้องใช้คืน อีก 60เปอร์เซ็น ผ่อนชำระหลังจากจบการศึกษา หางานทำยังไม่ได้ ผ่อนผันการชำระคืนได้ ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย (เรียนขั้นอุดมศึกษารัฐให้กู้เรียนประมาณ 8000โครนต่อเดือน โอนเงินเข้าบัญชีเป็นรายเดือน) ลูกพิการ รัฐบาลช่วยเลี้ยงดู ได้รับเงินช่วยเหลือเป็นพิเศษ รัฐจ้างคนให้มาดูแลเด็กพิการ เช่นพาออกไปตามศูนย์การค้า ว่ายน้ำ ฯลฯ แม้เธอจะรักษาชีวิตของตนและของลูกได้แต่แล้วก็ต้องสูญเสียสามี ชีวิตครอบครัวที่มีแต่ปัญหาทำให้เธอกับเขาตัดสินใจแยกทางกัน เธอก็จะได้เงินแม่หม้าย ส่วนสามีก็ต้องส่งเงินเลี้ยงดูลูกเป็นรายเดือน หักจากเงินเดือน ส่วนเรื่องอุบัติเหตุโรคภัยไข้เจ็บ ที่ต้องรักษาพยาบาล ก็ฟรี และถ้าต้องนอนพักฟืนโดยต้องอยู่ในการดูแลของหมอหรือพยาบาล ก็มีที่พักฟรี เป็นโรงแรมของโรงพยาบาล มาตราฐานการพักอาศัยแบบโรงแรมติดดาว แต่เรื่องความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน คงไม่มีใครช่วยได้ นอกจากตนเองที่ต้องอดทน สาธุขอให้เธอเจอแต่เรื่องดี ๆ หลังจากนี้ไป

Monday, July 23, 2007

โซเฟียวิ่งเล่นนอกบ้าน กรกฎาคม 2550

โซเฟียเกือบ 5 ขวบ ออกมาวิ่งเล่น ถ่ายรูปกับถ่ายวีดีโอกับแม่นอกบ้าน เดือนกรกฎาคม เป็นฤดูร้อนของประเทศนอร์เวย์ เวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม ยังสว่างอยู่เลย บริเวณบ้านที่อยู่มีการก่อสร้างบ้านใหม่ขึ้นหลายหลังมาก

โซเฟียอาบน้ำ มกราคม 2546

โซเฟียอายุได้ประมาณ 3 เดือน ชอบอาบน้ำมาก ปาป๊าเบอร์เกอร์เป็นคนถ่ายวีดีโอ มาม๊าจันทร์ อาบน้ำให้โซเฟียจ้า

Saturday, May 19, 2007

วางแผนซ่อมบ้านที่กรุงเทพ



ได้รวบรวมรูปห้องน้ำและห้องครัวของบ้านที่ประกาศขายที่นอร์เวย์ เพื่อเป็นไอเดียในการปรับปรุงห้องน้ำและห้องครัวที่บ้านกรุงเทพ

Sunday, January 14, 2007

หลานคนที่ 9

เด็กหญิง (ใบหม่อน) เกิดวันที่ พ.ศ. 2549 เป็นลูกคนที่ 3 ของชาติชาย กับ พี่หมวย เป็นหลานคนเล็กสุดในตอนนี้ ขอให้เลี้ยงง่ายๆ โตไวๆ สุขภาพแข็งแรง เรียนหนังสือเก่งๆ

หลานคนที่ 8

เด็กหญิงกรองทอง(น้องงาม) เกิดวันที่ สิงหาคม พ.ศ. 2546 เป็นลูกสาวคนที่ 3 ของ สุชาย กับ นุช เป็นเด็กพูดเก่ง ติดแม่ แต่คงไม่ขี้แหย่ เนื่องจากมีพี่สาว 2 คนที่โตมากแล้ว ดังนั้นจึงถูกตามอกตามใจจากพี่ๆ ด้วย อาจันทร์ไม่ได้ใกล้ชิด เพราะอาจันทร์ย้ายมาอยู่นอร์เวย์ คิดว่าถ้าอาจันทร์ไม่ได้ย้ายมาอยู่ต่างประเทศ น้องงามต้องเป็นหลานสาวคนโปรดของอาจันทร์ แทนพี่สวย เพราะเป็นหลานสาวข้างบ้านคนเล็ก และเป็นลูกของสุชายพี่ชายที่แสนดีอย่างมีนัยยะสำคัญ

หลานคนที่ 7 ของตายาย แต่เป็นลูกสาวดิฉันเอง

เด็กหญิงโซเฟีย กันทา อันโตนเซน (เฟีย) เกิดวันที่ 26 กันยายน 2545 เป็นลูกสาวคนเดียวของ วงศ์จันทร์ กับ เบอร์เกอร์ จะเรียนหนังสือเก่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนเลย แต่พูดกับตัวเองตลอดว่าลูกสาวฉลาดจัง ดิฉันเลี้ยงดิฉันก็รู้ ไม่ใช่ว่าจะคุย เป็นเด็กที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ง่ายนักที่เข้าหากับคนที่ไม่รู้จัก ต้องใช้เวลาในการทำความรู้จักมักคุ้น บางครั้งก็อยากให้ลูกเข้าหาคนง่ายหน่อย แต่อดนึกไม่ได้ว่าลักษณะส่วนนี้โซเฟียคงได้มาจากแม่คือดิฉันเอง อยากให้โซเฟียตั้งใจเรียน และเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้

หลานคนที่ 6

เด็กหญิง มะเหมี่ยว กันทา (เหมี่ยว) เกิดวันที่ พ.ศ. 2542 เป็นลูกคนที่ 2 ของ ชาติชาย กับ พี่หมวย เป็นเด็กเรียนหนังสือเก่ง เรียนเก่งกว่าพี่ชาย เรียบร้อย พูดจาไพเราะ ตั้งใจเรียนหนังสือ ตอนนี้เรียนอยู่ที่ซันตาครูส ถ้าโซเฟียอยู่เมืองไทยคิดว่าพี่เหมี่ยวจะเป็นเพื่อนเล่นที่ดี สอนน้องได้ ขอให้เรียนหนังสือเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ

หลานคนที่ 5

เด็กชายนภพงศ์ กันทา (ปังปอนด์) เกิดวันที่ 8 กันยายน 2538 เป็นลูกคนที่ 2 ของ พันธ์พงศ์ กับ ยุ้ย เป็นเด็กร่าเริงแจ่มใสเป็นพิเศษ ขี้เล่น พูดคุยเก่ง กินจุ ขี้น้อยใจ ดูท่าทางไม่น่าเรียนเก่งอันนี้พ่อของเขาพูดเอง เพราะว่าขี้เล่น แต่ว่าก็สอบได้ที่หนึ่งอยู่เรื่อย อาจันทร์ไม่อยากให้ปังปอนด์กินมากเกิน เพราะว่าอ้วนมากแล้ว และเรื่องน้อยใจเก็งก็ให้ลดน้อยลง เพราะปังปอนด์เป็นลูกผู้ชาย ขอให้ตั้งใจเรียน ต่อไปถ้าสอบเข้าเรียนอะไรได้เจ๋งๆ อาจันทร์มีรางวัลให้

หลานคนที่ 4

เด็กหญิงณัฐชนก กันทา (ไอ้สวย) เกิดวันที่ 1 สิงหาคม 2537 เป็นลูกสาวคนที่ 2 ของ สุชาย กับ นุช เป็นเด็กเรียนหนังสือเก่ง สอบได้ที่หนึ่ง ได้ใบประกาศนยบัตร เรียนเด่น เป็นหลานสาวคนโปรดของอาจันทร์ เพราะเป็นหลานสาวข้างบ้านที่มีอายุน้อยที่สุดชั่วขณะหนึ่งในตอนนั้น เป็นสาวห้าว ขอให้ตั้งใจเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอนาคตต้องสอบเข้าเรียน แข่งขันกับคู่แข่งจำนวนมาก

หลานคนที่ 3

เด็กชายวันวิวัฒน์ กันทา (เม่น) เกิดวันที่ 6 เมษายน 2536 วันจักรีซะด้วย เป็นลูกชายคนแรกของ ชาติชาย กับ พี่หมวย เป็นเด็กเรียนหนังสือเก่งน้อยกว่าคนอื่น แต่คุยเก่งมีมนุษยสัมพันธ์ดี ชวนคุยจนหลับที่เดียว อาจันทร์คิดว่าอนาคตจะได้ดีก็เพราะเป็นที่รักของคนทั่วไป ขอให้ตั้งใจเรียนนะ

หลานคนที่ 2

นางสาวพันธ์นภางค์ กันทา (พี่ปลา) เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 พฤษภาทมิฬ เป็นลูกสาวคนแรกของ พันธุ์พงศ์ กับ ยุ้ย เป็นเด็กเรียนหนังสือเก่ง เรียนเก่งติดอันดับ สอบได้ที่หนึ่งตลอด แถมร้องเพลงเก็งอีกต่างหาก กล้าแสดงออก คุยกันว่าจะให้เรียนหมอ ถ้าสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้ อาจันทร์มีรางวัลให้ ขอให้ตั้งใจเรียนอย่างนี้ตลอดไป

หลานคนแรก

นางสาวกนกภรณ์ กันทา (พลอย) เกิดวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2532 วันสุนทรภู่ซะด้วย เป็นลูกสาวคนแรกของ สุชาย กับ นุช เป็นเด็กเรียนหนังสือเก่ง สมัยประถมสอบได้ที่หนี่งตลอด พอเข้ามัธยมก็สอบได้ไม่เกินที่สาม ปีนี้จะสอบเอ็นทรานส์ ขอให้ตั้งใจและทำให้ดีที่สุด ได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร เมื่อได้พยายามแล้ว อาจันทร์ขอให้โชคดี