Friday, November 14, 2008

Fw: พร 4 ข้อของท่าน ว.วชิรเมธี

วันนี้เช็คอีเมล์ ปรากฏว่าได้รับข้อความส่งต่อจากเพื่อนสมัยเรียนที่ศิลปากร เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ อ่านแล้วเห็นว่าเป็นคำสอนที่ดีมาก ใช้สำหรับเตือนสติเตือนใจได้ อีกทั้งมีข้อความว่า "ท่านที่ได้รับโปรดส่งต่อไปให้แก่คนที่ท่านรักแลปรารถนาดี เป็นบุญเป็นกุศลยิ่งนัก" เลยเอามาส่งต่อไว้ที่นี่ และเก็บไว้อ่านอีกได้ภายหลัง ลองอ่านกันดูว่าท่านสอนอะไีรบ้าง (ไม่แน่ใจว่าทำไมเพื่อนถึงใช้หัวข้อว่า "พร 4ข้อ..." เพราะดิฉันอ่านแล้วเข้าใจว่าน่าจะเป็นคำสั่งคำสอนมากกว่า อ๋อหรือว่าดังคำกล่าวที่ว่า "ผู้ใหญ่ท่านสั่งท่านสอนถือว่าท่านให้พร" อยากเขียนถึงแม่ด้วยว่า้ "แม่บ่นแม่ด่าก็เหมือนแม่ให้พร" มาอยู่ไกลแม่อย่างนี้ถึงได้รู้ว่าแม่บ่นแม่ด่ามีความสุขขนาดไหน)

[ใครที่ไม่ได้ไปนั่งฟังการบรรยายธรรมะโดยท่าน ว.วชิรเมธี ท่านได้ให้พร 4 ข้อ ดังนี้
1. อย่าเป็นนักจับผิด
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง
" กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก "
คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส " จิตประภัสสร " ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี
" แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข "

2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
" แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน "
คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า " เจ้ากรรมนายเวร " ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้อง ถอดถอน
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น " ไฟสุมขอน " ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี " แผ่เมตตา " หรือ ซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป

3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ " ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น "
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ " อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน "
" อยู่กับปัจจุบันให้เป็น " ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี " สติ " กำกับตลอดเวลา

4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
" ตัณหา " ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่ เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วย น้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วย เชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ " ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม "
ทุกอย่าง ต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ ใส่เพื่อความโก้หรู คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่ คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์
เราต้องถามตัวเองว่า " เกิดมาทำไม " " คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน" ตามหา " แก่น " ของชีวิตให้เจอ คำว่า "พอดี" คือถ้า "พอ" แล้วจะ"ดี" รู้จัก "พอ" จะมีชีวิตอย่างมีความสุข]

Monday, November 10, 2008

หลานสาวคนโต "พลอย"

หลานสาวคนโตปีนี้อายุ 19ปีแล้ว เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ตอนอาจันทร์ไปรับปริญญาเธออายุแค่ 4 เดือน วันที่อาจันทร์รับปริญญาอากาศก็ร้อนคนก็แน่นแต่พลอยไม่ร้องสักแอะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่ร้อง เด็กทารกวัยขนาดนั้น อึดมาก หลานคนแรกก็ต้องเป็นหลานรักหลานโปรดไปโดยอัตโนมัติ อยากซื้ออะไรให้ก็ง่าย เพราะมีคนเดียว ตอนหลังต้องระวัง เพราะมีหลานหลายคนเข้า ความเท่าเทียมต้องมี ให้คนเดียวไม่ได้ ถ้าให้ต้องให้ทุกคน จำได้ว่าเคยซื้อเสื้อผ้าให้พลอยเกือบทุกวันตอนทำงานที่สวนมะลิ ข้างๆธนาคารศรีนคร สำนักงานใหญ่มีของมาขาย เสื้อผ้าเด็กคุณภาพส่งออก ราคาถูกแบบต้องซื้อ พวกกระโปรงก็มีแบบน่ารัก อดซื้อไม่ได้ พลอยจึงเป็นเด็กผู้หญิงที่ชอบแต่งตัวผู้หญิงคือชอบใส่กระโปรง ตอนนั้นหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมาก ตาโตขนตางอนเช้ง พลอยก็เลยตัดสินใจตัดขนตาตัวเองทิ้ง ดีนะกรรไกรไม่ทิมตาซนจริงๆ เราไปเที่ยวด้วยกันบ่อย เที่ยวห้างสรรพสินค้า เล่นเครื่องเล่นสำหรับเด็ก กินไอติม ดูหนัง จำได้ว่าเคยดูหนังเรื่อง “อำแดงเหมือน” จำไม่ได้ว่าพลอยอายุเท่าไรแต่ก็เล็กมาก อาจันทร์หาข้อมูลหน่อย (อำแดงเหมือน กับ นายริด ได้ถูกหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดย ผู้กำกับ เชิด ทรงศรี ซึ่งเป็นยุคที่ หนังย้อนยุค ประสพความสำเร็จมา ตั้งแต่ เรื่อง แผลเก่า สร้างในปี พ.ศ.2537) ได้แล้วพลอยอายุ 5ขวบ เธอชอบดูหนังเรื่องนี้มาก ตั้งใจดู ไม่เบื่อ ดูเสร็จก็คุยถามอาจันทร์ ทำให้อาจันทร์ประทับใจบวกแปลกใจว่าเด็กเล็กขนาดนี้ไม่น่าสนใจหนังย้อนยุค แนวคิดการเรียกร้องสิทธิสตรี
สมัยก่อนอาจันทร์ใช้สิทธิ์วันหยุดพักร้อน รู้ไหมอาจันทร์ทำอะไร พาพลอยนั่งรถไฟไปโรงเรียน ตอนนั้นพลอยอยู่ชั้นอนุบาลใส่กระโปรงแดง อาจันทร์เอากล้องถ่ายรูปไปด้วย ก็ถ่ายรูปเดี่ยว รูปหมู่ พลอยมีเพื่อนวิ่งตามเยอะมาก ถ่ายกันจนหมดม้วนได้รูป 36-38รูปเลย พอพลอยเข้าเรียน อาจันทร์ก็เอาหนังสืออ่านเล่นมาอ่านและนั่งรอที่โรงอาหาร พอพลอยเลิกเรียนเราก็กลับบ้านด้วยกัน น่าจะได้เป็นอาดีเด่นตัวอย่าง ไม่ใช่อะไรสาวโสดไม่มีแฟนเวลาว่างมันเยอะ
พลอยได้เต้นได้รำกับงานโรงเรียนบ่อยมาก เมคอัฟ อาร์ติส (Make up artist ไม่อยากใช้คำว่าช่างแต่งหน้าเดี๋ยวเชย ใช้ภาษาอังกฤษดูหรูดี) ประจำตัวซุปเปอร์สตาร์ดาราพลอยก็อาจันทร์นั่นแหละ แต่เช้าตรู่ประมาณ 6โมง พลอยมาเคาะห้องอาจันทร์ “แต่งหน้าให้หนูหน่อย” ทาปากให้พลอยไม่ต้องกลัวเลอะ เธอนิ่งมาก บางครั้งงานใหญ่หน่อยอาจันทร์ไม่ได้ไปทำงานก็ต้องตามไปแต่งหน้าให้ที่โรงเรียน ว่าไปแล้วเธอมันลูกสาวอาจันทร์ชัดๆเลย
ตอนที่เราไปดูผลการสอบเข้ากัน แล้วพออาจันทร์เห็นชื่อเธอสอบติด อาจันทร์ก็กอดเธอ เธอถามว่า “อะไรเนีย”แบบเขินๆ พลอยไม่เข้าใจ อาจันทร์ไม่ได้เวอร์ ก็อาจันทร์ดีใจไง ยิ่งเห็นนามสกุลที่เขียนว่า “กันทา” ใจมันตื้นตัน นี่แหละครอบครัวเรา
พลอยเป็นเด็กเรียนเก่ง อาจันทร์ดีใจด้วยที่เทอมแรกปีนี้พลอยสอบได้เกรดเอ (A) ทุกวิชา หวังใจว่าพลอยจะตั้งใจเรียนเสมอต้นเสมอปลายต่อไป (ไม่กล้าเอารูป 1 นิ้วที่พลอยถ่ายปีนี้มาลง เอามอร์เตอร์ไซค์รุ่นที่พลอยซื้อปีนี้ลงแทน ยังไงดูเลือกใช้ให้ถูกกาล ว่าจะขับรถยนต์หรือขี่มอร์เตอร์ไซค์ อาจันทร์เป็นห่วง)