Tuesday, February 21, 2012

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ Hypoglycemia

เมื่อวานมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำเริ่มจากหลังกินกาแฟ 1ถ้วยใหญ่หมดประมาณ 11โมงเช้า อาการหิวจัดมือไม้สั่นใจหวิวใจสั่นจะเป็นลม ความรู้สึกถ้าไม่ได้กินตอนนี้ต้องตายแน่ๆ เลยต้องกินเป็นยัดนุ่นเริ่มด้วย ขนมปังโฮลวีท 2อันทานมข้นหวานแบบเยิ้มล้นแผ่น เอาไม่อยู่ ไส้กรอกเวฟอีก 1อันลาดซอสพริกศรีราชาเผ็ดสุดๆ ช่วยไม่ได้ ขนมปังทาเนยโปะซาลามี่อีก 1อัน ตามด้วยนมแก้วใหญ่ ค่อยยังชั่ว จริงๆแล้วเมื่อตอนเช้าประมาณเกือบ 8โมงต่อเนื่องถึง 10โมงก็กินโกโก้ร้อน 1แก้วใหญ่ไปแล้ว ชาอีก 2ถ้วย และก็กล้วยหอม 1ลูก ไม่ได้อดเลย แต่มันหิวแบบไม่ธรรมดา และคราวนี้เมื่อกินแล้วยังรู้สึกมันต้องนอนพักเอาแรงกลับมานานกว่าปรกติ รู้สึกว่าอาการรุนแรงกว่าเดิม เฮ้อ เป็นมานานแล้วหละจำได้ไม่ชัดว่าเมื่อไร แต่ที่จำได้แน่ๆ ตอนเริ่มทำงาน อายุ 20ต้นๆ เพราะยังไม่ถึงเวลาพักเที่ยง สัก 11โมงแว๊บออกไปกินข้าวเพราะอาการหิวแบบไม่ธรรมดา "ถ้าไม่ได้กินตอนนี้ต้องตายแน่ๆ" คิดว่าตอนวัยเรียนตั้งแต่ประถมถึงมหาวิทยาลัยน่าจะเป็นบ้างแต่ไม่บ่อยเลยจำไม่ได้ชัด

เมื่อวานตั้งแต่หัวค่ำ 3ทุ่มจนเลยเที่ยงคืน นั่งอ่านจากเน็ตเรื่องนี้ 3ชั่วโมงเต็มๆ เดี๋ยวนี้อ่านหนังสือได้ช้าลงความสามารถในการเพล่งความสนใจด้อยลง แต่ด้วยความที่อยากอ่านช้าๆ ด้วยมั้งเพื่อให้เข้าใจชัดเจนก็เลยช้ามากแบบได้ใจ อ่านจากเว็บไทยเอามาแปะไว้ด่านล่าง อ่านตอนท้ายๆ ก็กลัวว่าหลอกขายวิตามินเปล่าหว่า เห็นเว็บไซท์ที่มีกระพริบๆ มากๆ ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่เว็บนี้ข้อมูลเยอะดี สะใจกับอาการโดยละเอียด 40อาการ

หาข้อมูลเพิ่มจากเว็บฝรั่งบ้าง อ่าน 2เว็บนี้
diabetes.niddk.nih.gov
reactivehypoglycemia.info
ได้ข้อมูล ความรู้ต่อยอดเรื่องภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำสำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นเบาหวาน อ่านแล้วเข้าใจว่าตัวเองน่าจะอยู่กลุ่มนี้ Reactive hypoglycemia แต่รอให้คุณหมอวินิจฉัยจะดีกว่า คิดเองเอ่อเองไม่ดี

ข้อมูลจากเว็บ thailabonline
"ลักษณะทั่วไป
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หมายถึง ระดับน้ำตาล หรือกลูโคส (glucose) ในเลือดต่ำ
กว่าปกติ (ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 มก.ต่อเลือด 100 มล.) เป็นภาวะที่ร้าย
แรง หากรักษาไม่ทันอาจเป็นอันตรายได้

สาเหตุ
อาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น
1. พบหลังดื่มเหล้าจัด อดข้าว มีไข้สูง หรือออกกำลังมากไป
2. ผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังได้รับยาเบาหวาน บางครั้งกินอาหารน้อยไปหรือกินอาหาร
ผิดเวลา หรือออกกำลังมากไปกว่าที่เคยทำอยู่ ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ได้ ผู้ป่วยที่กินยาเม็ดรักษาเบาหวาน ในตอนเช้า มักจะมีอาการตอนเช้ามืดของวันรุ่ง
ขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ฉีดอินซูลินตอนเช้ามักจะมีอาการตอนบ่าย ๆ
3. พบในทารกแรกคลอดที่แม่เป็นเบาหวาน หรือทารกมีน้ำหนักน้อย
4. ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ บางคนก็อาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นครั้งคราวได้ เนื่องจาก
ร่างกายมีการใช้น้ำตาลมากขึ้น
5. ผู้ป่วยที่ผ่าตัดกระเพาะออกไปแล้ว อาจเกิดภาวะนี้ได้บ่อย ๆ โดยมากจะเกิดหลังกิน
อาหาร 2-4ชั่วโมง เนื่องจากลำไส้มีการดูดซึมน้ำตาลเร็วเกินไป ซึ่งจะไปกระตุ้นให้
ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน ออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เรียกว่า
Dumping syndrome
6. ถ้าเป็นอยู่บ่อย ๆ อาจมีสาเหตุจากเบาหวานระยะเริ่มแรก, โรคตับเรื้อรัง, มะเร็ง
ของตับอ่อน (Insulinoma), มะเร็งต่าง ๆ, โรคแอดดิสัน เป็นต้น

อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการรอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก
รู้สึกหิว บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะ ซึม กระสับกระส่าย พูดอ้อแอ้ แขนขาอ่อนแรง
ปากชา มือชา พูดเพ้อ เอะอะ โวยวาย ก้าวร้าว ลืมตัว หรือทำอะไรแปลก ๆ (คล้ายคน
เมาเหล้า) ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีอาการชักหมดสติ ในรายที่เกิดจากการดื่มเหล้า ผู้
ป่วยอาจมีอาการตัวเย็นชืด แขนขาเกร็ง ขากรรไกรแข็ง

สิ่งตรวจพบ
เหงื่อออก มือเท้าเย็น อาจมีอาการชักหรือหมดสติ ชีพจรมักเบาเร็ว และความดันเลือด
ต่ำ (แต่ก็อาจพบว่าปกติก็ได้) รูม่านตามักจะมีขนาดปกติ และหดลงเมื่อถูกแสง

อาการแทรกซ้อน
หากปล่อยให้หมดสติอยู่นาน หรือเป็นอยู่ซ้ำ ๆ จะทำให้สมองพิการ ความจำเสื่อม
บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม วิกลจริต บางคนอาจหลับไม่ตื่นเนื่องจากสมองพิการ
อย่างถาวร

การรักษา
หากสงสัย ให้ฉีดกลูโคสขนาด 50% จำนวน 50-100 มล. เข้าทางหลอดเลือดดำ
หากผู้ป่วยฟื้นแล้วแต่ยังกินไม่ค่อยได้ ควรให้ 5% เดกซ์โทรส (5% D/W) เข้าทาง
หลอดเลือดดำจำนวน 500-1000 มล. ถ้าเป็นไปได้ ก่อนฉีดกลูโคส ควรเจาะเลือด
ตรวจหาระดับน้ำตาล ซึ่งมักจะพบต่ำกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มล. (ในรายที่
เป็นมาก อาจต่ำกว่า 40) ถ้าฉีดกลูโคสแล้วไม่ดีขึ้นภายใน 30 นาที ควรส่งโรง
พยาบาลด่วน อาจต้องตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การ
รักษาตามสาเหตุที่พบ

ข้อแนะนำ
1. ผู้ป่วยที่มีอาการที่ชวนสงสัยว่าเป็นภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้ายังรู้สึกตัวดี ควรรีบ
กินน้ำตาล น้ำหวานหรือของหวาน ๆ ทันที ซึ่งจะช่วยให้อาการต่าง ๆ ทุเลาลงทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วย เบาหวานที่ได้รับยารักษาเบาหวานอยู่ ควรพกน้ำตาลติดตัว
ไว้กินทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกมีอาการแต่ถ้าหมดสติ อย่ากรอกน้ำตาลหรือน้ำหวานเข้าปาก
ผู้ป่วย อาจทำให้สำลักลงปอดได้ ควรรีบนำไปหาหมอที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด เพื่อฉีด
กลูโคสเข้าหลอดเลือดดำ
2. ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้บ่อย ๆ ควรบอกให้ญาติและเพื่อนใกล้ชิดทราบ เพื่อจะได้หาทาง
แก้ไขได้ท่วงทันทีหากปล่อยไว้จนหมดสติหรือชักนาน ๆ อาจทำให้สมองพิการได้
3. ในรายที่มีภาวะนี้บ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุ
ให้แน่ชัด

การป้องกัน
ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาเบาหวานรักษา ต้องปรับอาหารการกินและการออกกำลังกาย
(การใช้แรงกาย) ให้พอเหมาะ อย่าอดอาหาร อย่ากินอาหารผัดเวลา อย่าใช้แรงกาย
หักโหมหรือหนักกว่าที่เคยทำ และข้อสำคัญอย่าใช้เกินขนาดที่แพทย์สั่ง

รายละเอียด
ยารักษาเบาหวาน อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้


ปัญหาเรื่องระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ การป้องกัน โดย ดร.สาทิส อินทรกำแหง

HYPOGLYCEMIA หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ HYPO แปลว่าต่ำ GLYCEMIA หมายถึงน้ำตาล คำแปลตรงๆ ก็คือ น้ำตาลในเลือดต่ำ มันเป็นโรคซึ่งหาสาเหตุไม่ได้ และมันไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่เมื่อคุณป่วยด้วยโรคนี้ มันจะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้คุณป่วยเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ ต่อไปได้เป็นโรคซึ่งเกิดขึ้นใหม่ เกิดขึ้นในยุคของคนสมัยใหม่ ในอเมริกาและยุโรป และขณะนี้ก็เกิดขึ้นกับคนไทยยุคใหม่ของเราแทบทุกคน อาการของมันก็คือ อาการเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้ ผสมกับการนอนไม่หลับ ปวดเนื้อปวดตัว และระบบขับถ่ายผิดเพี้ยนไปหมดนี่เป็นอาการรวมอย่างกว้างๆ นะครับ

ขอพูดถึงอาการเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้เสียก่อน การเพลียโดยปรกตินั้นเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คน คุณตื่นเช้าขึ้นมีเรี่ยวมีแรง พอตอนสายคุณต้องไปทำงานหนัก เป็นต้นว่าต้องเดินขึ้นเขา แบกของหนักเหงื่อไคลไหลย้อย พอแบกของไปถึงที่ คุณก็หมดแรง นั่งพักนอนพักทั้งคืน รุ่งขึ้นจึงจะมีเรี่ยวแรงทำงานต่อไปได้นี่คือการเหนื่อยการเพลียตามปรกติ คือ ข้อที่หนึ่ง คุณตื่นขึ้นมามีเรี่ยวมีแรง ข้อที่สอง คุณออกแรงทำงานหนักเหงื่อไหลไคลย้อย ข้อที่สาม คุณเหนื่อยแล้วคุณก็พัก ข้อที่สี่ เมื่อคุณได้นั่งพัก หรือนอนพักแล้วรุ่งขึ้นคุณก็มีแรงตามปรกติแต่การเหนื่อยเพลีย แบบ HYPOGLYCEMIA ไม่เป็นอย่างนั้นคุณนอนตื่นขึ้นมา คุณก็เพลียเสียก่อนแล้ว คุณรู้สึกว่าคุณนอนไม่หลับสนิท ตอนเช้าตื่นขึ้นมารู้สึกเหมือนโงหัวไม่ขึ้น อยากลุกขึ้นมา แต่ก็ลุกไม่ไหว อยากนอนต่อพอลุกขึ้นมาได้ แล้วล้างหน้าล้างตาอาบน้ำแล้ว ก็ยังรู้สึกเพลียอีกนั่นแหละ รู้สึกจิตใจมัวซัวไปทำงาน หรือจะทำอะไรก็ไม่มีชีวิตชีวา มิหนำซ้ำยังปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว และอาการเพลียไม่มีแรงของคุณ จะเป็นซ้ำๆ ซากๆ อย่างนี้ทุกๆ วัน แต่นี่คือการเหนื่อยเพลียแบบ HYPOGLYCEMIA ซึ่งเป็นการเหนื่อยเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้ และก็จะหาสาเหตุไม่ได้แน่นอน ถ้าเผื่อผู้ที่ป่วยจะไปหาหมอตามโรงพยาบาล หรือคลินิก เมื่อใช้เครื่อง มือตรวจทุกอย่าง ตรวจเลือด เอกซเรย์ หรือทำสะแกนจนครบถ้วน ผลลัพธ์ก็จะออกมาเป็นปรกติ เครื่องมือต่างๆ ก็จะไม่พบอะไรที่มันผิดปรกติ และแพทย์หลายคนก็อาจจะลงความเห็นว่า ผู้ป่วยนั้นเป็นโรคอุปาทาน หรือโรคประสาทไปเลย

เมื่อประมาณ 40 ปีก่อนโน้น นายแพทย์ผู้หนึ่งของอเมริกา คือ สตีเฟน ไกแลนด์ ได้พบว่า เขาป่วยเป็นโรคอ่อนเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้ นอกจากนั้น เขานอนไม่หลับ และปวดเนื้อปวดตัวอยู่ตลอดเวลา อาการป่วยของเขานั้น ทำให้เขารู้สึกเบื่อไปหมดทุกอย่าง เบื่อจนกระทั่งคิดอยากจะฆ่าตัวตาย เขาไปหาแพทย์หลายคน เป็นเพื่อนกันก็มี เป็นผู้เชี่ยวชาญทางสมอง และเชี่ยวชาญโรคอื่นๆ หลายโรค
แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาเป็นอะไร บางคนบอกว่าอาจจะเป็นเนื้องอกในสมอง แนะนำให้ผ่าตัดสมอง บางคนบอกว่า เป็นโรคเกี่ยวกับต่อมบางอย่างไม่ทำงาน แต่หลายๆ คนบอกว่าเขาเป็นโรคอุปาทาน และเป็นโรคประสาท และไม่มีใครรักษาเขาได้เลย เขาตกลงใจว่า เขาจะต้องรักษาตัวเองให้ได้ ขั้นแรกที่สุด เขาพยายามไปค้นคว้ารายงานแพทย์ต่างๆ ที่รายงานถึงเรื่องโรคต่างๆ ซึ่งยังไม่มีใครค้นพบ เขาค้นรายงานใหม่ๆ ไม่พบว่ามีรายงานอันไหน ที่ตรงกับอาการของเขาเลย เขาจึงค้นย้อนต้นกลับไปอีกประมาณ 30 ปี ก็ได้พบรายงานของนายแพทย์รุ่นอาจารย์คนหนึ่ง คือ นายแพทย์ซีล ฮาริส ได้พูดถึงอาการของน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือ HYPOGLYCEMIA จากการค้นคว้าและรวบรวมอาการจากคนไข้หลายๆ คน นายแพทย์ฮาริสได้สรุปว่า เป็นอาการของน้ำตาลในเลือดต่ำ และอาการที่นายแพทย์ฮาริสรายงานไว้ทุกอาการนั้น ตรงกับอาการของนายแพทย์ไกแลนด์ทุกอย่าง เขาสรุปได้ทันทีว่า ที่เขาป่วยอยู่ขณะนั้นก็คือ HYPOGLYCEMIA และเขาก็เริ่มรักษาตัวเอง ด้วยการตรวจดูอาหารซึ่งเขาได้กิน ตามแฟชั่นสมัยนิยมขณะนั้น คืออาหารที่หวาน ด้วยน้ำตาลขาวมากเกินไป และมีแต่แป้งขาวมากเกินไป (เช่น ขนมปังทำด้วยแป้งขาว และอาหารแทบทุกอย่าง ที่ทำจากแป้งขาวและน้ำตาลขาว)เขาแก้ในเรื่องอาหารก่อน คือเลิกพวกแป้งขาวและน้ำตาลขาว แล้วหันมากินอาหารทุกอย่าง ที่เป็นอาหารไม่ได้ขัดสีออก และกินอาหารประเภทผัก ผักสด และหลังจากนั้นก็แก้ในเรื่องชีวิตประจำวัน และในเรื่องความเครียด เขาได้ปรับปรุงเรื่องชีวิตประจำวัน ให้พ้นจากวิถีของชีวิตคนสมัยใหม่ ซึ่งมีรายละเอียดมากมาย และในไม่ช้าเขาก็หายขาดจากโรค ซึ่งป่วยมากว่าสิบปี

ต่อจากนั้นนายแพทย์ไกแลนด์ ได้ทำรายงานเสนอในวารสารการแพทย์หลายแห่ง ปรากฏว่ามีผู้ป่วยเช่นเดียวกันมากมาย รวมทั้งผู้ที่เป็นแพทย์ด้วย นายแพทย์ไกแลนด์ และกลุ่มแพทย์อีกหลายคนได้ศึกษา HYPOGLYCEMIA อย่างจริงจัง ได้ทำรายงานและได้ร่างสูตรของ HYPOGLYCEMIA ไว้อย่างถูกต้อง ตามหลักการแพทย์ทุกประการ จนเป็นที่ยอมรับของวงการแพทย์อเมริกัน และได้มีการศึกษาเรื่องผู้ป่วยด้วยโรคนี้ ปรากฏว่าในสหรัฐอเมริกา เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วมามีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ถึง 20 ล้านคน และแพทย์กลุ่มนี้ ได้ระบุอาการละเอียดต่างๆ ของโรคนี้ มีอยู่ด้วยกัน 40 อาการ (ท่านผู้อ่าน กรุณาเก็บอาการที่จะพูดถึงนี้ไว้ด้วย เพราะเราจะพูดถึงกันโดยละเอียดในตอนต่อไป)

อาการโดยละเอียดคือ
1. อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 2. รู้สึกเบื่อหน่าย -ซึมเศร้า 3. นอนไม่หลับ
4. มีอาการทางประสาท 5. เวียนหัว-ปวดหัว 6. เหงื่อแตกบ่อยๆ
7. มือสั่น 8. หัวใจเต้นผิดปรกติ 9. ปวดกล้ามเนื้อปวดหลัง
10. เบื่ออาหาร 11. จิตใจฟุ้งซ่าน ขาดสมาธ 12. เนื้อตัวชาเป็นบางครั้ง
13. ท้องอืด ท้องขึ้น 14. มือเย็น เท้าเย็น 15. รู้สึกสับสนปั่นป่วน
16. เป็นตะคริวบ่อย 17. เบื่อการพบปะผู้คน 18. อ้วน น้ำหนักเกิน
19. การทรงตัวไม่ดี 20. อยากฆ่าตัวตาย 21. เกิดการชักกระตุก
22. เป็นลมบ่อยๆ 23. ความจำเสื่อม 24. วิตกกังวลง่าย
25. หิวอย่างรุนแรง ก่อนถึงเวลา 26. ลังเลตัดสินใจไม่ได้ 27. อยากกินของหวานๆ
28. กามตายด้าน 29. มีอาการภูมิแพ้ 30. การประสานงาน ส่วนต่างๆ ของร่างกายเลวลง
31. คันตามผิวหนัง 32. หายใจไม่ออกบ่อยๆ
33. ฝันร้ายบ่อยๆ
34. ปากแห้ง-คอแห้ง 35. ลมหายใจ และปากมีกลิ่นแปลกๆ 36. โมโหร้าย
37. ถ่ายอุจจาระผิดปรกติ 38. ถ่ายปัสสาวะผิดปรกติ 39. หน้าร้อนผ่าวบ่อยๆ
40. ทนเสียงอึกทึก-แสงจ้าๆ ไม่ได้.


นายแพทย์เจคอบ ไตเทิ้ลบอม จากแอนนาโปลีส มารี่แลนด์ เป็นแพทย์อีกคนหนึ่งที่ป่วยด้วยอาการ HYPOGLYCEMIA หรือนํ้าตาลในเลือดตํ่า เขาโชคดีกว่านายแพทย์ไกแลนด์ เพราะขณะที่เขาป่วยนั้นโรคนี้เป็นที่รู้จักกันดีแล้ว แต่กระนั้นก็ตามที แม้จะรู้วิธีรักษา แต่ก็ต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งปีกว่าจะรักษาโรคของเขาให้หายได้ นั่นก็เพราะเขาเกิดในสมัยหลัง นายแพทย์ไกแลนด์ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนรุ่นหลังอย่างไตเทิ้ลบอม กลายเป็นชีวิตของคนสมัยใหม่เต็มตัว วัตถุนิยมกลายเป็นเป้าหมายในการดำรงชีวิตการแก่งแย่งชิงดี
ความรีบร้อน และยุ่งเหยิงในชีวิตประจำวัน ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความเครียดและบีบคั้นโรคนํ้าตาลในเลือดตํ่า จากการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ และปวดเนื้อปวดตัว ได้กลายเป็นโรคที่สลับซับซ้อนและมีอาการแปลกๆ มากมายถึง 40 อาการ ดังที่ได้ระบุไว้แล้วตามหัวข้อข้างต้น แต่ความแตกต่างระหว่างอาการของโรคอื่นๆ และจาก HYPOGLYCEMIA นี้มีต่างกันอยู่อย่างหนึ่ง คืออาการจากโรคอื่นๆ นั้นเรารู้สาเหตุ แต่อาการอย่างเดียวกันซึ่งเกิดจาก HYPOGLYCEMIAนั้น เราจะหาสาเหตุไม่ได้ อย่างเช่น อาการหัวใจเต้นผิดปรกติของบางคนนั้น เมื่อตรวจดูอย่างละเอียดแล้วเราจะรู้ว่าสาเหตุมาจากโรคหัวใจ แต่หัวใจเต้นผิดปรกติของ HYPOGLYCEMIA ตรวจดูเท่าไหร่ ละเอียดเท่าไหร่ก็จะหา สาเหตุไม่ได้ โดยเหตุนี้แหละ เมื่อไปหาแพทย์หลายคน ซึ่งมักจะได้รับคำตอบว่า "ตรวจร่างกายละเอียดแล้วคุณสมบูรณ์ ทุกอย่างคุณคงจะเป็นโรคอุปาทานมากกว่า" นายแพทย์ไตเทิ้ลบอม คงจะเข้าใจความรู้สึกของคนไข้เป็นอย่างดี เขาจึงเตือนเพื่อนนายแพทย์ด้วยกันว่าอย่าด่วนตัดสินใจว่าคนไข้เป็นโรคอุปาทาน จนกว่าคุณจะได้ทดสอบคนไข้ด้วย G.T.T.หรือ GLUCOSE TOLERANCE TEST เพราะการตรวจเช่นนี้ ถ้าพบว่านํ้าตาลในเลือดขึ้นๆลงๆ อยู่ตลอดเวลา เมื่อทำเป็นกราฟก็จะเห็นว่า เส้นกราฟของนํ้าตาลในเลือดขึ้นลงเป็นรูปภูเขาแล้วคนไข้ก็เป็นโรค HYPOGLYCEMIA แน่ แสดงว่าจะรู้แน่นอนว่าเป็น HYPOGLYCEMIA แน่นอนก็ต้องเจาะเลือดดูติดต่อกันเกือบทั้งวันจึงจะรู้แน่ว่าเป็น HYPOGLYCEMIA หรือจะเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า CHRONIC FATIGUE SYNDROME หรือ CFS ก็ได้

การเหนื่อย เพลียแบบ HYPOGLYCEMIA นี้ ไม่มีสาเหตุ คุณไม่ได้ไปออกแรงไม่ได้วิ่ง ไม่ได้ทำงานหนัก แต่คุณก็เหนื่อยเปลี้ยเพลียแรงอยู่ตลอดเวลา ตื่นเช้าขึ้นมาทั้งๆ ที่ได้นอนมาแล้ว 7-8 ชั่วโมง แต่คุณก็ไม่มีแรง ลุกไม่ได้ คุณกินอาหารบำรุงก็แล้วฉีดยาบำรุงกี่เข็มต่อกี่เข็มก็แล้ว แต่คุณก็ยังไม่มีแรงอยู่นั่นเอง นี่คือความแตกต่างของการเหนื่อย การเพลียอย่างมีสาเหตุ และอย่างไม่มีสาเหตุซึ่งเป็นเพราะ HYPOGLYCEMIA

มาถึงการนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นอาการสำคัญอีกอย่างหนึ่งของ HYPOGLYCEMIA ซึ่งถ้าพยายามหาสาเหตุเพียงไร ก็จะหาไม่พบและทำให้งงงันอยู่ตลอดเวลา ปรกติถ้าคนที่ไม่เป็นอะไร ทำงานหนักๆ หรือออกแรงมากๆ เขาก็จะง่วงนอน เมื่อนอนก็หลับทันทีและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะมีแรง แต่การนอนไม่หลับของ HYPOGLYCEMIA นั้น แรกๆ เจ้าตัวอาจจะนึกว่าตัวนอนหลับสนิทแต่ในไม่ช้าเขาจะรู้ตัวว่า เขาตื่นขึ้นคืนหนึ่งๆ หลายครั้ง และบางครั้ง เขาจะต้องเข้าห้องนํ้าถ่ายปัสสาวะคืนหนึ่งหลายๆ ครั้ง เมื่อเขานอนต่อไปจนถึงรุ่งเช้า ถึงเวลาไปทำงาน เขาจะลุกไม่ไหวยิ่งแข็งใจตื่นมากเท่าไหร่ เขาก็จะงัวเงีย และหมดแรงมากเท่านั้น ไปหาหมอเพื่อหาสาเหตุว่า เขานอนไม่หลับเพราะอะไร ก็จะหาสาเหตุไม่เจอ และเมื่อแพทย์พยายามช่วยเขาด้วยการจ่ายยานอนหลับให้ เขาก็จะพบว่าอาการของเขากลับเลวร้ายไปใหญ่ เขาจะนอนหลับเหมือนคนเมาคือ สมองของเขาจะมึนซึมเหมือนคนเมาเหล้า และถึงแม้จะหลับไปได้ แต่จะตื่นไม่ได้และอาการ
ของเขาก็จะเป็นมากขึ้น จนกลายเป็นโรคประสาทเรื้อรังไปเลย

อาการต่างๆ เหล่านี้ ผสมกันหลายอย่างก็จะต่อๆ ไปให้เกิดอาการแปลกๆ มากขึ้นอาการตอนแรกๆ ก็คือ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ปวดหลัง ปวดเอว ปวดตัว ปวดศีรษะ ระบบขับถ่ายทั้งหนักทั้งเบารวนเรไปหมด และอาการต่างๆ ก็จะมากขึ้นจนถึง 40 อาการดังกล่าวมาแล้ว ที่สำคัญก็คือ ไม่ใช่อาการทางกายแต่อย่างเดียวแต่จะมีอาการทางจิตด้วย เขาจะรู้สึกเบื่อหน่าย ซึมเศร้า อาจจะถึงคิดฆ่าตัวตายก็มี และนี่แหละ คือโรคที่นายแพทย์ฮาร์เวย์ รอสส์ เพื่อนคนหนึ่งของนายแพทย์ไกแลนด์กล่าวไว้ว่า "โรคนี้ไม่ทำให้คุณตายหรอก แต่มันจะทำให้คุณอยากตาย".

การรักษา
อาการ 40 อาการนั้น ค่อนข้างจะหนักหนาสาหัส เพราะดูๆ ไปแล้ว ไม่ว่าจะป่วยเป็นอะไรก็ตาม ดูเหมือนอาการจะมาตรงกับ HYPOGLYCEMIA หรือ CFS. ไปเสียหมดสิ้น แล้วทำไมไม่บอกเสียสักทีว่ารักษาอย่างไร

ผมบอกแล้วว่า ต้นเหตุเกิดจากการกินอาหารผิดๆ ก็ต้องแก้เรื่องอาหารเสียก่อน เรื่องการกินผิดๆ นั้น ให้คำจำกัดความง่ายๆ ว่า เรากินตามใจปากมากเกินไป กินอาหารด้วยการติดความอร่อยมากเกินไป กินอาหารเนื้อสัตว์มากเกินไป กินอาหารประเภทแป้งขาวมากเกินไป กินหวานเกินไป กินมันเกินไป กินอาหารรสจัดมากเกินไป เหล่านี้เป็นต้น

วิธีแก้ง่ายๆ จึงได้แนะให้กินอาหารตามสูตรชีวจิต ซึ่งเป็นสูตรกลางๆ อย่างที่สุด และเมื่อลองกินอาหารตามสูตรแล้ว ก็ต้องแก้อาการอื่นๆ ซึ่งยังหลงเหลืออยู่ต่อไป เรียกว่าต้องแก้ทั้งอาการภายนอก และอาการภายในร่วมกันนั่นเอง และก็อย่าลืมเรื่องชีวิตประจำวัน คือการปรับชีวิตประจำวันให้สมดุล พร้อมกันไปด้วย กิน นอน ทำงาน พักผ่อน ออกกำลังกาย ต้องมีกิจกรรมให้ครบถ้วน จัดให้พอดีกับวิถีชีวิต จะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ และเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องของการคิดหรือวิธีคิด รู้จักคิดในทางบวก คิดในทางที่จะทำตัวเอง ให้สบายใจ มีความรัก ความเมตตาให้แก่ตัวเอง แก่คนอื่น และเพื่อนร่วมโลก ฟังดูแล้วเหมือนกับเอาเทศน์ หรือเทปของวัดวาอารามต่างๆ มาเปิดให้ฟัง แต่จริงๆ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง ชีวิตคนเราถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ หรือการแพทย์โดยตรง ก็ต้องมีเรื่องคุณธรรม หรือศีลธรรมเป็นพื้นฐาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่บ้าน จะไปคลินิก ไปโรงพยาบาล ไปหาหมอวิเศษที่ไหน ถ้าแห่งนั้นหรือหมอคนนั้น
ขาดคุณธรรมหรือศีลธรรม โรคของคุณและอาการป่วยของคุณ ไม่มีวันหายหรอกครับ

เอาละครับ ก่อนที่จะลืมพูดส่วนสำคัญของอาหาร อีกส่วนหนึ่งคือ เรื่องแร่ธาตุ ผมขอพูดถึงความสำคัญของแร่ธาตุ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวกับ HYPOGLYCEMIA โดยตรง และก็มีความสำคัญต่อการรักษา HYPOGLYCEMIA หรือ Chronic Fatigue Syndrome (CFS). เป็นพิเศษด้วย

แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการมีอยู่ 18 อย่าง คือ แคลเซียม คลอรีน โครเมียม โคบอลท์ ทองแดง ฟลูออรีน ไอโอดีน แมกนีเซียม แมงกานีส โมลิบดีนัม ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม ซีเลเนียม โซเดียม กำมะถัน วานาเดียม และสังกะสี ในจำนวน 18 ตัวนี้ มีอยู่ 4 ตัว ซึ่งมีความสำคัญกับ Chronic Fatigue Syndrome (CFS). เป็นพิเศษ คือ โซเดียม แคลเซียม โปแตสเซียม และแมกนีเซียม สี่ตัวนี้เราเรียกว่า กลุ่มเกลือคาร์บอนิค (CARBONIC SALTS)

ขอย้อนกลับพูดถึงความสำคัญของ อาหารที่มีต่อชีวิตของเราว่า อาหารสร้างชีวิตของเรา และทำให้เรามีชีวิตเจริญเติบโตต่อไปได้ก็จริง แต่ในขณะเดียวกัน อาหารก็สามารถเป็นเพชฌฆาตทำให้เราตายได้ โทษของอาหารก็คือ ถ้าเรากินอาหารผิดๆ อาหารนั้นก็จะกลายเป็นท็อกซิน (TOXIN) ทำลายสุขภาพและชีวิตของเราได้ ท็อกซินเป็นพิษก็จริง แต่ไม่ใช่ยาพิษ มันเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาทางเคมี ซึ่งแล้วแต่การผสมหรือการบูด (FERMENTATION) จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงไร และตกค้างอยู่ในร่างกายมากน้อยเพียงไรด้วย ขอพูดถึงกระบวนการของการกิน ซึ่งก่อนที่เราจะกินมัน ก็เป็นอาหารปรกติธรรมดา เช่น หมู เห็ด เป็ด ไก่
ก่อนจะส่งเข้าปากเรา มันก็จะเป็นหมู เห็ด เป็ด ไก่ อยู่ แต่พอเข้าปากเราแล้ว มันก็จะเปลี่ยนแปลงทันที มันจะถูกเคี้ยวให้ละเอียดก่อน อาหารบางอย่างเมื่อถูกเคี้ยวคลุกเคล้ากับน้ำลาย เช่น ข้าวจะเปลี่ยนเป็นแป้ง และน้ำตาลกลูโคส และอาหารอย่างอื่นเมื่อผ่านลงกระเพาะจะถูกย่อย และผ่านจากกระเพาะสู่ลำไส้เล็ก ก็จะถูกย่อยละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะโปรตีนและไขมัน ต่อจากนั้น มันจึงจะถูกดูดซึมเข้ากระแสโลหิต และโลหิตก็จะไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ส่วนที่เหลือเป็นกากอาหาร ก็จะกลายเป็นอุจจาระ ขับถ่ายออกจากร่างกาย เป็นอันจบกระบวนการกระบวนการนี้เรียกว่า METABOLISM

ในระหว่างกลางของกระบวนการ METABOLISM นี้เอง ที่จะเกิดการสร้างท็อกซินหรือพิษขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาหาร ซึ่งเราแยกออกเป็น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เมื่อย่อยครบถ้วนกระบวนความแล้ว กลุ่มโปรตีนและไขมัน จะกลายเป็นกรดซิลเฟอริค และกรดฟอสฟอรัส กลุ่มคาร์โบไฮเดรต จะกลายเป็นกรดอาซติค และกรดแลคติค กรดซัลเฟอริค และกรดฟอสฟอริค เป็นกรดร้ายแรง ขนาดกัดเหล็กให้กร่อนได้ ส่วนกรดอาซติค หรือกรดน้ำส้ม และกรดแลคติค ก็มีความร้ายแรงเกือบจะพอๆ กัน ความรุนแรงเช่นนี้ ถ้ายังคงอยู่ในร่างกายเรา อวัยวะสำคัญๆ ก็จะพังพินาศไม่มีชิ้นดี และเราก็คงตายไปเสียนานแล้ว เหตุการณ์เช่นนี้ ว่าที่จริงก็เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ธรรมชาติก็คงไม่ต้องการให้เราตายง่ายๆ เช่นนั้น จึงได้เตรียมแก้ความเป็นพิษไว้ให้เรา การแก้พิษนี้ ก็คือกลุ่มเกลือคาร์บอนิคนี้เอง

กลุ่มเกลือคาร์บอนิค จะเปลี่ยนกรดที่ร้ายแรงต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ให้กลายเป็นกลางได้ และสารอาหารต่างๆ ซึ่งจะกลายเป็นพิษร้ายแรงนั้น ก็กลับกลายเป็นสารอาหาร ที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงร่างกายได้ นั่นคือการทำลายท็อกซินขั้นแรก แต่การทำลายท็อกซิน ด้วยวิธีธรรมชาติของร่างกายนั้น ไม่สามารถจะทำร้ายท็อกซิน ได้หมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้ากลุ่มเกลือคาร์บอนิคซอลท์ของเรา ไม่เพียงพอ และจะยิ่งร้ายแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเรากินผิดๆ เช่น แป้ง ขาวมากเกินไป เนื้อสัตว์มากเกินไป หวานมากเกินไป มันมากเกินไป เหล่านี้เป็นต้น

ด้วยเหตุการแก้อาการ Chronic Fatigue Syndrome (CFS). ประการหนึ่งในหลายประการก็คือ เติมกลุ่มเกลือคาร์บอนิคเข้าไปให้มากขึ้น การเติมนี้ ผมเคยอธิบายให้ฟังไว้หลายครั้งแล้วว่า กลุ่มวิตามินและแร่ธาตุนั้น ก็คืออาหารและมีอยู่ในอาหารแล้ว แต่ในกรณีที่เราป่วย การจะกินอาหารที่มีแร่ธาตุอย่างนี้ แต่เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ทันกาล จึงควรกินชนิดอย่าง ที่สกัดออกมาอย่างเข้มข้น ทำเป็นเม็ดหรือแคปซูล จะช่วยทำให้อาการป่วยหายเร็วขึ้น

กลุ่มเกลือคาร์บอนิค ที่มีในอาหารนั้น มีดังนี้ โซเดียม มีอยู่ใน เกลือ หอย แครอท หัวบีท อาร์ติโช้ค เนื้อสัตว์ ประโยชน์ ของโซเดียม ช่วยขับถ่ายทางผิวหนัง (เหงื่อ) ช่วยให้การทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ

แคลเซียม อาหารจากนม และผลิตผลจากนม ปลา และกระดูกปลา ถั่วต่างๆ วอลนัท เมล็ดทานตะวัน ถั่วเหลือง ถั่วแดง ผักใบเขียว
ประโยชน์ สร้างกระดูก ฟัน เล็บ ช่วยการเต้นของหัวใจ ทำให้นอนหลับ ช่วยให้ธาตุเหล็กทำงานดีขึ้น (สร้างเลือด) ช่วยระบบประสาท

โปแตสเซียม มีในพวกส้ม และผลไม้เปรี้ยว แคนตาลูป มะเขือเทศ แห้ว ผักใบเขียว เมล็ดทานตะวัน กล้วย มัน (หัว) ประโยชน์ ช่วยให้สมองทำงานดีขึ้น ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยแก้ภูมิแพ้ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด

แมกนีเซียม มีในมะนาว ส้มโอ ข้าวโพด อัลมอนด์ ถั่วต่างๆ ผักเขียวแก่ แอปเปิ้ล ประโยชน์ ช่วยแก้รู้สึกซึมเศร้า ช่วยระบบเลือดหัวใจ ช่วยฟันแข็งแรง ช่วยละลายแคลเซียมสะสม ช่วยในการย่อย

ถ้าหากมีอาการ Chronic Fatigue Syndrome (CFS). เมื่อใด ก็แสดงว่า กลุ่มเกลือคาร์บอนิคในอาหารของเรา มีไม่พอเพียง จะเพิ่มอาหารอีกก็จะแก้ไม่ทัน จึงแนะนำให้ใช้อย่างสกัดเป็นเม็ด หรือเป็นอาหารเสริมดังนี้ แคลเซียม 500 มก. โปแตสเซียม 100 มก. แมกนีเซียม 300 มก. (กินทุกวัน ประมาณ 2-3 อาทิตย์) โซเดียมไม่ต้องเติม เพราะคนไทยกินเค็มมากอยู่แล้ว"

รูปภาพประกอบจาก bangkokhealth ซึ่งก็มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

Thursday, February 16, 2012

โรงแรม Cavo Spada Luxury Resort & Spa-5ดาว

สะสมรูปโรงแรม Cavo Spada Luxury Resort & Spa-5ดาว แก้เซ็ง หวังว่าตัวจริงจะสวยเหมือนในรูป หน้าร้อนปีนี้เจอกันที่เกาะเครต้า ประเทศกรีซ

Wednesday, February 08, 2012

ท่องเที่ยวกันเถอะ

นึกๆ ก็อยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา คิดว่าดีเหมือนกันเป็นการบันทึกความทรงจำอย่างหนึ่ง เมื่อปี 2553 ตอนอยู่เมืองไทย 2เดือน โซเฟียเริ่มบ่นว่า "ทำไมได้มาแต่เมืองไทยอย่างเดียว อยากได้ไปเที่ยวที่อื่นบ้าง" ส่วนมากเพื่อนๆ ที่โรงเรียนของโซเฟีย หรือโดยทั่วๆไปเด็กที่ประเทศนอร์เวย์เขาได้ไปเที่ยวพักผ่อนประเทศอื่นๆในแถบยุโรปกันเป็นส่วนมาก พอลูกเริ่มบ่นแม่ก็เข้าใจความรู้สึกของลูกเป็นยิ่งนัก ตั้งใจไว้ว่านอกจากต้องพาลูกกลับเมืองไทยปีละครั้งแล้ว ยังต้องพาลูกไปเที่ยวประเทศอื่นๆ ด้วย ข้อดีของการท่องเที่ยวคือการทัศนศึกษาได้ประโยชน์ได้เรียนรู้ ลูกจะได้มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เข้าใจอะไรได้ง่าย และเข้าใจวิถีชิวิตของคนมากขึ้น ผลพลอยได้คือแม่ได้เที่ยวด้วย อิอิอิ จุ๊ๆๆ อย่าบอกใครนะโซเฟียโดยเฉพาะยาย

ปีที่แล้ว 2554 เป็นการเริ่มต้น รณรงค์ภายในครอบครัวเที่ยวใกล้ๆ แบบราคาประหยัด เราเลือกไป "ตุรกี" เพราะมีเครื่องบินชาร์เตอร์ Chater บริษัทฯ เช่าเหมาลำเดินทางตรงออกจากเมืองบูด้าไปยังตุรกีสนามบินอันทาลีย Antalya ตาโตพอเห็นค่าตั๋วเครื่องบินลดลงมาเหลือประมาณครึ่งเดียวจากราคาเต็ม แถมมีเวลาล่วงหน้าก่อนเดินทางเป็นเดือน อย่างนี้ต้องแย่งซื้อ ค้นหาโรงแรมที่เน้นเหมาะสำหรับเด็กและก็ออลอินคลูซิฟ Allinclusive จะดีมากหมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายบานปลาย โชคดีได้สมใจเจอโปรโมชั่นพิเศษ Eftalia Village ราคาสำหรับ 3คนพ่อแม่ลูก 2148.-โครน 7คืน 2-9 พค.2553 ออลอินคลูซีฟ ขอบอกราคานี้ลองกลับไปเสริชใหม่เล่นๆ ปรากฏไม่มีอีกแล้ว ถือว่าฟลุคที่ได้มา
ปีนี้ 2555 ดำเนินตามนโยบาย โซเฟียอยากไปกรีซ เกาะเครต้า Crete/Kreta โอเคโนพล้มเบล็ม มีเครื่องบินชาร์เตอร์ออกจากเมืองบูด้า ม่าม้าลุ้นดูราคาทุกวัน ปรากฏยังไม่ลดแถมห้องราคาประหยัดสุดเริ่มไม่มี รอๆ ไป เริ่มลดราคาให้กับพวกที่เดินทางออกจากออสโล โอ้โหอะไรวะ ไม่ยุติธรรม แต่ก็นั่นแหละ เมืองบูด้าเล็กกว่านอกจากมีให้เลือกไม่มากแล้วแถมโอกาสที่จะได้ลดราคาก็น้อยด้วย เผลอๆ อดไป ตั๋วเครื่องบินถูกได้สุดๆต่อเมื่อก่อนเดินทางเพียงหนึ่งวัน โรงแรมก็เต็มหมดแล้ว อย่าเสี่ยงดีกว่า เพราะเป็นภาระกิจสำคัญที่แม่ต้องจัดการให้ลูก ค้นหาโรงแรมที่ถูกใจสุดๆ เหมาะสมสำหรับเด็กสุดๆ ราคาพิเศษสุดๆ เวลาเดินทางที่เหมาะสุดๆ ทุกอย่างสุดๆ ลงตัวหมดแล้ว บวกออลอินคลูซิฟ เราก็ตัดสินจองโรงแรม Cavo Spada Luxury Resort & Spa เดินทางต้นเดือนพฤษภาคมนี้จร้า บอกกำหนดเดินทางตรงๆ ก็ได้ 5-12 พค.2555


ปีหน้า 2556 เรือสำราญท่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ลองค้นหาไว้ล่วงหน้า รายการนี้น่าสนใจเพราะราคาค่อนข้างย่อมเยาว์กว่าเจ้าอื่นแถมมีรายการลดราคาพิเศษด้วย ต้องเก็บไว้เป็นข้อมูล ไปกับเรือ Msc Splendida หรือ Msc Fantasia