Saturday, December 25, 2010

คริสต์มาสปีนี้อยากกลับบ้าน



Home For Christmas
Carefull what you say
This time of year
Tends to weaken me
And have a little decency
And let me cry in peace
But there's a place where I
Erase the challenges I've been through
Where I know every corner,
Every street-name
All by heart

And so it is a part of my
Courageous plan to leave
With a broken heart
Tucked away under my sleeve

I wanna go home for Christmas
Let me go home this year
I wanna go home for Christmas
Let me go home this year

I'll pack my bags
And leave before the sun rises tomorrow
'Cause we act more like strangers for each day
That I am here
But I have people close to me
Who never will desert me
Who remind me frequently
What I was like as a child

And so it is a part of my
Courageous plan to leave
With a broken heart
Tucked away under my sleeve

I wanna go home for Christmas
Let me go home this year
I wanna go home for Christmas
Let me go home this year

I don't know what my future holds
Or who I'll choose to love me
But I can tell you where I'm from
And who loved me to life

And so it is a part of my
Courageous plan to leave
With a broken heart
Tucked away under my sleeve

I wanna go home for Christmas
Let me go home this year
I wanna go home for Christmas
Let me go home this year

ที่มา http://www.lyricsmode.com/lyrics/m/maria_mena/home_for_christmas.html

Monday, November 08, 2010

ถ้าคุณรักประเทศไทย

ดิฉันอยากเขียน หรืออยากนำเสนองานเขียนใดๆที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ในการพัฒนาประเทศและคนในชาติบ้านเกิดเมืองนอน เพราะเชื่อว่าการที่คนเราได้อ่านเนื้อหาที่ดีมีประโยชน์จะได้คิด เป็นการช่วยส่งเสริมการปลุกจิตสำนึก หรือแม้อาจเป็นเพียงการ “ปลูก”จิตสำนึก แต่อย่างน้อยก็ได้เริ่มต้น อาจจะรู้สึกว่าอีกนานกว่าจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิต แต่คนเราเมื่อมีจุดมุ่งหมายก็มีความหวัง เมื่อชีวิตมีความหวังอะไรๆ มันก็จะดีขึ้น

เนื้อหาที่จะอ่านต่อไปนี้มีพูดถึงปัญหา “ระบบการศึกษาและการอบรมปลูกฝัง” มีผลต่อทัศนะของคนในชาติ คัดลอกมาจากฟอร์เวิล์ดที่ได้จากเพื่อนเรียนร่วมรุ่นเดียวกัน ARTS18 รุ่นปัจจุบัน ARTS43 คิดดูแล้วกันรุ่นน้องเรียกป้าได้แล้วอ่ะ นอกเรื่องไปหน่อย มาลองอ่านดูว่าเขาเขียนว่าไง...
“เสียงสะท้อนจากคนไทยคนหนึ่งเพื่อก่อให้เกิดการปฏิรูปประเทศไทย ความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา ไม่ได้อยู่ที่การไม่เคยเสียเอกราชให้กับใคร สามารถดูได้จากประเทศญี่ปุ่นเยอรมัน แม้จะแพ้สงครามแต่ก็กลับมายิ่งใหญ่ในเศรษฐกิจโลก ไม่ได้อยู่ที่ความเก่าแก่ของอารยธรรมของประเทศนั้นๆ สามารถดูได้จากประเทศอินเดีย อียิปต์ ซึ่งมีอารยธรรมมานานกว่า 3000ปี แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังยากจน ในขณะที่ประเทศเกิดใหม่เช่นสิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ที่เป็นประเทศเล็กๆ ไม่มีศักยภาพอะไรเลยเมื่อ 100ปีที่แล้ว แต่วันนี้กลับพัฒนากลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ร่ำรวยได้ และความแตกต่างระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศด้อยพัฒนา ก็ไม่ได้อยู่ที่ทรัพยากรของประเทศอีกนั่นล่ะ ญี่ปุ่นมีพื้นที่เกษตรกรรมน้อยมาก 80% ของพื้นที่เป็นภูเขาไม่เหมาะในการทำเกษตรกรรม แต่ญี่ปุ่นกับเป็นประเทศที่ส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก สวิสเซอร์แลนด์อากาศหนาวจัด จนใน 1ปี ทำการเกษตรได้เพียง 4 เดือน และไม่มีการทำไร่โกโก้เลย แต่กลับทำช็อกโกแล็ตส่งออกรายใหญ่ของโลก และยังนำความซื่อสัตย์ ความตรงต่อเวลา ความมีระเบียบของคนมาใช้ประโยชยน์ จนได้รับการยอมรับให้เป็นธนาคารของโลก สีผิวแลเผ่าพันธ์ก็ไม่ใช่เหตุผลอีกแหละ เพราะเมื่อแรงงานที่เคยขี้เกียจในประเทศของตนย้ายไปอยู่และหากินในประเทศที่เจริญแล้วกลับกลายเป็นแรงงานที่ขยันด้วยซ้ำไป
แล้วอะไรที่ทำให้แตกต่าง สิ่งที่แตกต่างคือ ทัศนคติที่ฝังรากลึกมานานปี ผ่านระบบการศึกษา และการอบรมปลูกฝัง จากการวิเคราะห์ พฤติกรรมของคนในประเทศที่พัฒนาแล้ว พบว่าคนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่บนหลักปรัชญา ได้แก่
1.ใช้จริยธรรมนำทางชีวิต (Ethics as the basic principle)
2.ความซื่อสัตย์ (Integrity)
3.ความรักในงาน (Work Loving)
4.ความรับผิดชอบในหน้าที่ (Responsibility)
5.จิตใจมุ่งมั่น สู่ความเป็นที่หนึ่ง ( Will of super action)
6.การเคารพต่อกฏระเบียบ (Respect to the law and rules)
7.การเคารพต่อสิทธิของผู้อื่น (Respect to the rights of other citizens)
8.การตรงต่อเวลา (Punctuality)
9.การออมและความสนใจในการลงทุน (Strive for saving and investment)
แต่น่าเสียดายที่ในประเทศที่ด้อยพัฒนามีคนจำนวนน้อยที่ใช้หลักปรัชญาเหล่านี้ในการดำเนินชีวิต
ประเทศไทยของเรายัง เป็นประทศด้อยพัฒนา ไม่ใช่เพราะเราขาดทรัพยากร หรือมีภัยธรรมชาติ เป็นปัญหา แต่เพราะเราขาดทัศนคติ และแรงผลักดันที่สอดคล้องไปตามหลักปรัชญาการดำเนินชีวิตที่กล่าวมา”

อ่านแล้วอาจจะมีความคิดขัดแย้งอยู่ในใจบ้าง เรื่องปัจจัยตัวแปรอื่นๆ หรือข้อมูลตัวเลข 80% 3000ปี 4เดือนถูกต้องหรือเปล่าไม่ได้เช็ค ยังไงก็ช่างเถอะ จุดมุ่งหมายของผู้เขียนคือ “อยากเห็นประเทศไทยของเราเปลี่ยนเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว” ส่วนตัวดิฉันอยากให้ประเทศไทยของเรามีความสงบสุขร่มเย็น คนในชาติมีความรักความสามัคคี มีความเสมอภาคทั้งในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจและสังคม

หมายเหตุรูปภาพประกอบ คือรูปวาดปรมาจารย์ขงจื๊อซึ่งก็ได้จากฟอร์เวิล์ดเมล์ฉบับนี้นั่นแหละ
คำสอนของปรมาจารย์ขงจื๊อ
หากเจ้าวางแผนไว้ 1ปี จงปลูกข้าว
หากเจ้าวางแผนไว้ 10ปี จงปลูกต้นไม้
หากเจ้าวางแผนไว้ 100ปี จงให้ความรู้กับบุตรหลาน

Tuesday, October 05, 2010

The Kingdom of Bhutan

ขอใช้ชื่อหัวข้อเป็นภาษาอังกฤษก็แล้วกัน เพราะเกิดความสับสน"ชื่อ"ของประเทศนี้ จำได้ว่าเคยเรียกว่า "ประเทศภูฐาน" แล้วตอนนี้เห็นเขียนกันมากว่า "ประเทศภูฏาน" (อ่านว่า พู-ตาน) ลองฟังเสียงที่เว็บวิกิพีเดีย wikipedia

หูที่ด้อยประสิทธิภาพของดิฉัน ได้ยินว่า "บู-ดาน" ใครช่วยเข้าไปฟังหน่อย ได้ยินว่ายังงัย วานบอกด้วย
คือว่าดิฉันพึ่งทำการบ้าน(ข้อสอบย่อย)เสร็จเลยให้รางวัลกับชีวิตโดยมาอัปเดทบล็อก สงสัยว่าข้อสอบที่ว่าเขาถามอะไร ถึงได้มาต่อติดกับหัวข้อบล็อก "The Kingdom of Bhutan" คำถามมีว่า "Explain the main difference between Thomas Hobbes’ and John Locke’s idea of individual freedom and the state."จริงๆ ก็ไม่เกี่ยว แต่ถ้าจะให้เกี่ยวก็ได้อันนี้ให้ผู้อ่านคิดเอาเองก็แล้วกัน ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวยังไง เกี่ยว เกี่ยวยังไง เอาไปทำเป็นข้อสอบย่อยบ้างก็จะดี ถ้ามีเวลาว่างและอยากใช้หมองตั้งมาธิ...

เวลาตอนนี้ณ.ประเทศนอร์เวย์เลยเที่ยงคืนมาแล้วอาจจะงงและง่วงบ้างแต่ตั้งใจทำ ขอทำให้เสร็จลุล่วง ไม่ยาก ๆ เพราะต่อไปนี้เป็นการคัดลอก
1.พิธีแต่งงานของประเทศภูฏาน(ได้รับฟอร์เวิลด์จากเพื่อน Arts18) ได้ลองค้นหาต้นฉบับเรื่องนี้เจอที่เว็บนี้ fringer.org

แต่ผู้เขียนเขาเริ่มหัวข้อว่า "เรื่องเสรีภาพทางเพศของคนภูฏานนั้นมีประเด็นที่น่าสนใจอีกมาก" หากสนใจเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับประเทศนี้ก็อ่านในเว็บนี้ได้ค่ะ
"กฎหมายของภูฏานไม่มีข้อจำกัดเรื่องผัวเดียวเมียเดียว ผู้ชายจะมีภรรยากี่คนก็ได้ แต่ผู้หญิงจะมีสามีกี่คนก็ได้เช่นกัน ก็นับว่ายุติธรรมดีมากๆ ผู้ชายภูฏานนิยมมีภรรยาสองคน แต่งคนแรกตอนอายุ 25 ปี คนที่สองตอนอายุประมาณ 40 แน่นอน เจ้าสาวโดยมากเป็นสาวรุ่นแรกแย้ม อายุระหว่าง 18-25ทั้งคู่ ผู้หญิงภูฏานส่วนใหญ่มีสามีคนเดียวยกเว้นในครอบครัวที่เลี้ยงจามรีเป็นอาชีพหลัก ผู้หญิงนิยมมีสามีสามคน คนแรกมีหน้าที่เลี้ยงฝูงจามรีในฤดูร้อนบนภูเขา (จามรีเป็นสัตว์เมืองหนาว จึงต้องอาศัยอยู่บนภูเขาสูงที่มีอุณหภูมิต่ำ เพื่อหนีร้อนจากข้างล่าง)พอถึงฤดูหนาวก็ต้อนจามรีลงมาจากเขาให้สามีคนที่สองเลี้ยง (เพราะอากาศในฤดูนี้หนาวเกินกว่าที่จามรีจะทนอยู่บนยอดเขาได้)ส่วนสามีคนที่สามมีหน้าที่เอาเนยที่ทำจากจามรีไปขายที่ตลาด สามีหรือภรรยาที่ถูกจับได้ว่ามีชู้อาจถูกศาลตัดสินให้จ่ายค่าเสียหายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง โดยตั้งจำนวนค่าเสียหายตามจำนวนปีที่แต่งงานกัน
ชนบทภูฏานมีประเพณีหนึ่งเรียกว่า “การล่ายามวิกาล” (night-hunting)
คือการที่ผู้ชายแอบปีนขึ้นห้องนอนของผู้หญิงที่ตน “ปิ๊ง” ยามดึก หรือแม้แต่ไม่เคยเห็นหน้าผู้หญิงก็ไม่เป็นไร ขอแค่รู้ว่าบ้านนี้มีลูกสาวโสดเป็นใช้ได้ ก่อนจะมีอะไรกัน ฝ่ายหญิงเองก็ต้องยินยอมด้วย ไม่อย่างนั้นฝ่ายชายก็ต้องรีบจ้ำอ้าวก่อนจะเจอข้อหาข่มขืน ซ้ำร้ายถ้าทำผู้หญิงท้องแล้วถูกจับได้ กฎหมายบังคับให้จ่ายค่าทำคลอด และ 20 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทุกเดือน เป็นค่าเลี้ยงดูบุตร หากผู้หญิงไม่ยอมแต่งงานด้วย เรื่องนี้น่าสรรเสริญ เพราะเสรีภาพทางเพศคงไม่มีประโยชน์อันใด หากไร้ความเท่าเทียมกันควบคู่ไปด้วย เมื่อมีอะไรกันแล้ว หากชายหญิงชอบพอกัน ผู้ชายก็เพียงแต่รอ เฉยๆ ในห้องผู้หญิง เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นผู้หญิงก็จะไปบอกพ่อแม่ให้นิมนต์พระ หรือ กอมเช็น(ฆราวาสที่ประกอบพิธีทางศาสนาเป็น)ประจำหมู่บ้านมาทำพิธีแต่งงานให้ เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อยโรงเรียนภูฏาน"

2.ความสุขมวลรวมของประเทศภูฏาน ค้นหาจากเน็ตเพราะอยากให้พวกเราทั้งหลายเห็นคุณค่า GNH มากกว่า GNP ที่มา
bangkokbiznews

ภูฏาน นับเป็นประเทศที่ยากจน อยู่บริเวณเทือกเขาหิมาลัย รายได้หลักของประเทศมาจากผลผลิตทางการเกษตร ป่าไม้ การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำส่งออกไปยังอินเดีย และรายได้จากการท่องเที่ยว แต่ภูฏาน เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก จากการคิดต่าง ไม่วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยมูลค่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดทางวัตถุ ที่บอกรายละเอียดว่า ในแต่ละปี สินค้า บริการในประเทศนั้น ถูกผลิตขึ้นในระบบเศรษฐกิจเป็นมูลค่าเท่าใด แต่ ภูฏาน ได้สร้าง ดัชนีตัวใหม่ ซึ่งรู้จักกันทั่วโลก ในชื่อของ Gross National Happiness (GNH) อันมีรากเหง้าจากคำกล่าวของ กษัตริย์ Jigme ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อปี 1972 ที่ย้ำชัดถึง วิสัยทัศน์ ที่ว่า Gross National Happiness is more important than Gross National Product หมายถึง ความสุขของประชาชนสำคัญกว่าผลผลิตมวลรวมหรือรายได้รวมของประเทศ นั่นเอง จากวันนั้นมา ภูฏาน ไม่หยุดยั้งความพยายามในการเดินตามวิสัยทัศน์ จนกระทั่งวันนี้ ปี 2010 ห้วงเวลาที่กระแสโลกาภิวัตน์ยังคงไหลเชี่ยวกราก วัตถุนิยมยังคงมีมนต์ขลัง เพราะสนองกิเลสมนุษย์ได้ดีเยี่ยม จึงเป็นที่สงสัยกันว่า GNH ของภูฏานจะยังคงต้านทานกระแสเหล่านี้ไปได้นานแค่ไหน และจะกลายพันธุ์หรือไม่อย่างไร จากการที่สมาคมจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ TMA ได้ร่วมกับ CSR CLUB โครงการทำดีทุกวัน จากดีแทค จัดโปรแกรมไปดูงานและร่วมสัมมนาเรื่อง Gross National Happiness 8000 ที่ประเทศภูฏาน เมื่อเร็วๆ นี้ นั้น พบว่าภูฏานยังเป็นประเทศที่ยังคงเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจที่เติบโตอย่าง ยั่งยืน สร้างสมดุลชีวิตให้คนทั้งประเทศ ด้วยรูปธรรม คือ ความสุข GNH มี 4 หลักการใหญ่ หรือ The Four Pillars ได้แก่ 1. การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน 2.การรักษาสภาพแวดล้อม 3. การส่งเสริมวัฒนธรรมประจำชาติ และการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล
4 หลักใหญ่นี้ เปรียบเหมือนค่านิยมหลักของประเทศ
โดยเสาหลักที่ 1 นั้น มิได้ปฏิเสธตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจแบบตะวันตกเสียทีเดียว แต่เน้นการเดินทางสายกลาง โดยเอาปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมและปัจจัยทางด้านจิตใจของประชาชนมาพิจารณา ประกอบ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไปอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของสังคมที่เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยที่ปลูกฝังค่านิยมให้ประชาชนมีชีวิตอย่างพอเพียง
เสาหลักที่ 2 คือ การไม่พัฒนาไปในทิศทางที่ทำลายความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ โดยตั้งเป้าให้มีพื้นที่ป่ามากกว่าร้อยละ 70 ของพื้นที่ประเทศ
เสาหลักข้อที่ 3 การรักษา ส่งเสริมวัฒนธรรม โดยรัฐบาลภูฏาน เห็นว่าวัฒนธรรม คือ สิ่งที่คนของเขาต้องรักษาไว้ ทุกวันนี้ ชุดประจำชาติยังคงมีการสวมใส่อย่างแพร่หลายเห็นได้ตามท้องถนนทั่วไป สถาปัตยกรรม สิ่งปลูกสร้าง มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น DZONG อดีตคือป้อมปราการ แต่วันนี้ รูปแบบเดิมแต่ปรับเป็น วัด และสถานที่ราชการ
เสาหลักที่ 4 การส่งเสริมธรรมาภิบาล นับเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด ในการนำประเทศสู่ความสุขมวลรวมประชาชาติ ทุกวันนี้ ภูฏานมีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง เมื่อปี 2008 โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยยังคงมุ่งให้ประชาชนยึดมั่นในศาสนาพุทธ ที่เป็นเครื่องยับยั้งการทำความชั่วนั่นเอง ทุกๆ บ้านของชาวภูฏานจะต้องมีห้องพระเอาไหว้กราบบูชา ขณะที่ระบบบริหารประเทศของเขาก็มีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน แต่เหนืออื่นใด ก็คือ การปลูกฝังเรื่องของจริยธรรม และความพอเพียง เมื่อคนเราโลภน้อยลง มีความสุขง่าย การโกง การคอร์รัปชันย่อมน้อยลงนั่นเอง"

Saturday, September 11, 2010

ขอโทษประเทศไทย

พยายามหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมือง เพราะถ้าไม่สามารถเขียนในเชิงติเพื่อก่อ หรือเสนอแนะแนวทางแก้ไขแล้ว ก็มีแต่จะสร้างความแตกแยกร้าวฉานระหว่างกลุ่มคนที่มีความคิดความเชื่อต่างกัน

ดิฉันสนใจด้านสังคม ภาษา วัฒนธรรม ครอบครัว ธรรมะ สุขภาพ และการเขียนครั้งนี้ต้องขออนุญาตหยิบยืมคำบรรยายโฆษณาที่ถูกแบน “ขอโทษประเทศไทย”—“ปลุกพลังบวก” เพื่อจุดประกายความคิดความต้องการของสังคม
"เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า...รุนแรงไปหรือเปล่า...ฟังความข้างเดียวหรือเปล่า... ทำหน้าที่ของตัวเองหรือเปล่า...คิดถึงประชาชนหรือเปล่า......โกงหรือเปล่า... เอาเปรียบหรือเปล่า...ให้ปัญญาประชาชนหรือเปล่า...เสื่อมหรือเปล่า... รักเงินมากกว่าความถูกต้องหรือเปล่า... แล้วรอการช่วยเหลืออย่างเดียวหรือเปล่า...ถ้าจะต้องมีคนผิด... ก็คงเป็นเราทั้งหมดที่ผิด...ขอโทษประเทศไทย...แล้วถ้าจะต้องแก้ไข ก็คงต้องเป็นเราคนไทยที่ลุกขึ้นมาแก้...จดจำความสูญเสียไว้ในใจ...แล้วเปลี่ยนให้เป็นพลังบวก"

แต่ก่อนไม่เข้าใจว่า 2 ปีที่ผ่านมาทำไมประเทศไทยเป็นไปได้ขนาดนี้ ตอนนี้ก็ใช่ว่าจะเข้าใจทั้งหมด ประสบการณ์ตรงอันหนึ่งที่ทำให้เริ่มมีความเข้าใจถึงเรื่องความขัดแย้งที่เกิดจากความคิด หรือแม้กระทั่งเรื่องที่มีความคิดตรงกัน แต่ไม่เห็นด้วยกับการนำเสนอที่สุดโต่งปลายขั้วและมองเพียงด้านเดียว ใช้การวิพากษ์วิจารณ์แบบแฟนตาซี ใช้คำศัพท์แบบเชิงวิชาการ เชิงนวนิยายได้อารมณ์ คนอ่านแล้วได้ใจ ทั้งที่นำเสนอเพียงด้านเดียวแต่จูงใจได้ดี ก็สามารถทำให้คนที่มีความรู้ระดับปัญญาชนเห็นชอบด้วยโดยสิ้นเชิง และนี่มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยของเรา หยั่งที่เราเคยได้ยินประโยคที่ว่า"ฟังความข้างเดียวหรือเปล่า"

การเพิกเฉยต่อปัญหา ข้อผิดพลาดบางอย่างที่เกิดจากระบบอุปถัมภ์ และยอมรับว่านี่แหละค่านิยมที่พวกเราถือปฏิบัติกันมา และไม่สนใจที่จะช่วยปรับปรุงแก้ไขจากจุดเล็กๆ ในครอบครัว ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง ฟังนะ"รักเงินมากกว่าความถูกต้องหรือเปล่า... แล้วรอการช่วยเหลืออย่างเดียวหรือเปล่า..." ปัญหาสืบเนื่องที่เกิดขึ้นและใหญ่ระดับประเทศชาติ ปัญหาคอรัปชั่น ฟังชัดๆ "โกงหรือเปล่า... เอาเปรียบหรือเปล่า..." ขอเพิ่มเองอีกนิดเพื่อให้เห็นภาพ "ตะกละตะกลามเกินไปไหม" การประท้วงที่บานปลายรุนแรงสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติและประชาชนถ้วนหน้า ขอโทษประเทศไทยแล้วหรือยัง

ความคิดสร้างสรรค์ ความตั้งใจดีที่จะทำอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์ในการสร้างความเข้าใจระหว่างกลุ่มคน อย่างน้อยได้ปลุกความคิดทางบวก ก็กลายเป็นว่าไม่เห็นด้วย "อย่าทำเลย" "มันเป็นเรื่องยาก" แล้วเมื่อไร "ระบบความชอบธรรมจะเกิดขึ้นได้ในประเทศไทยของเราอย่างที่คนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการ คงต้องใช้วิธีการผลัดกันประท้วงเรียกร้องความชอบธรรม สร้างความรุนแรงอย่างนี้ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดหรือ...

ขอขอบคุณรูปภาพประกอบจาก
rsunews

Sunday, August 22, 2010

มุมมองที่ต่างไปจากเดิม

ปีนี้กลับบ้านเมืองไทย 8 สัปดาห์ เดินทางวันแรกของการปิดเทอมหน้าร้อนของโซเฟีย กลับนอร์เวย์ก็ได้หยุดอีกแค่สองวันคือวันเสาร์อาทิตย์ วันจันทร์ก็ต้องไปโรงเรียนแล้ว เรียกว่าใช้วันหยุดฤดูร้อนที่เมืองไทยเต็มๆ วันเวลาผ่านไปรวดเร็วปีนี้ก็เข้าปีที่ 10 ของการพักอาศัยอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ยิ่งอยู่นานยิ่งชินกับการใช้ชีวิตที่นี่มากยิ่งขึ้น ปีนี้กลับเมืองไทยอยู่นานหน่อยแต่นานไม่มากพอให้ชินกับสภาพการใช้ชีวิตที่เมืองไทย อะไรหลายอย่างที่เคยคิดก็ไม่เหมือนเดิม ไม่รู้เพราะอะไร เคยเบื่อต้องทำกับข้าวทุกวัน ก็กลายเป็นว่าน่าเบื่อเหมือนกันที่ออกไปกินข้าวข้างนอกทุกวัน เคยเซ็งกับการขับรถที่ต้องระวังกับถนนลื่นเพราะหิมะน้ำแข็ง แต่เซ็งมากกว่ากับการที่ขับรถบนถนนที่มีรถลาเยอะแยะหลายประเภท และต้องระวังกับพฤติกรรมการขับรถที่ไม่สามารถคาดเดาได้ กดดันกับลักษณะของคนที่เย็นชาไม่ร่าเริงมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่สุดจะทนไหวกับลักษณะของคนที่ก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลถึงแม้จะแฝงด้วยอัธยาศัยที่อยากเป็นมิตรแต่มันเกินงามเกินพอดี น่าจะมีอะไรอีกหลายอย่างนะ แต่ที่เขียนมทั้งสามอย่างนี่น่าจะบอกถึงชีวิตความเป็นอยู่หรือไลฟสไตล์ที่ต่างกัน

เริ่มมีความคิดและรู้สึกว่าอยู่นอร์เวย์ก็สุขสบายดี ถึงแม้จะไม่ค่อยสนุกสนาน แต่เข้าวัยทองแล้วอยู่ที่ไหนก็คงไม่เน้นเรื่องของความสนุกเป็นหลักแล้ว เน้นสงบสุขร่มเย็นไม่ต้องกังวล ไม่เครียดเป็นหลักมากกว่า จดบันทึกไว้เป็นหลักฐานย้ำเตือนตัวเองว่าคิดอะไรอยู่กับประเทศที่สองที่อยู่อาศัยเป็นหลักณ.ตอนนี้ คิดว่าถ้าใครมาอยู่ต่างแดนใหม่ๆ แล้วมันร้อนรนทนไม่ไหว ถ้าได้อ่านความคิดที่เปลี่ยนไปของคนประสบการณ์ร่วมอย่างดิฉันคงได้คิดว่า คนเรามีการปรับเปลี่ยนความคิด มุมมองที่ต่างไปจากเดิมจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เหมือนกัน แต่ก็คงไม่ได้เร็วดังใจฝัน ดิฉันปรับได้เมื่อเข้าปีที่สิบ หวังว่าบางคนอาจทำใจและเข้าใจได้เร็วกว่าดิฉัน ขอให้โชคดีถ้วนหน้านะคะ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนสนใจในการดูแลสุขภาพ ขอนำภาพเครื่องทำน้ำเต้าหู้ที่ซื้อจากเมืองไทยมาปีนี้เป็นภาพประกอบค่ะ

Wednesday, June 16, 2010

ดอกไม้ กับ ต้นเชอร์รี่

ปีที่แล้วอาจันทร์คุยกับพลอยไว้ว่าจะเอารูปดอกไม้หน้าร้อนที่นอร์เวย์มาให้ดู คุยกันว่าดอกไม้ที่มันเหมือนหรือคล้ายกับที่เขากำทำเป็นช่อขายในงานวันรับปริญญา จำได้ว่าราคาช่อละ 200กว่าบาทเชียวนะ ขนาดเมื่อกว่า 20ปีที่แล้ว รูปดอกไม้ที่ว่าถ่ายมาเป็นเวลาประมาณปีหนึ่งได้แล้ว ถ่ายเมื่อหน้าร้อนปีที่แล้วไง ดูรูปดอกไม้กันก่อน






เพื่อนอาจันทร์ อาเหมียวอยากให้เขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติ พระอาทิตย์ หรือ ดอกไม้ ซึ่งจริงๆ แล้ว อาจันทร์ก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกันแต่ก็ยังไม่ได้เขียนสักที ตอนนี้อยากจะลองเขียนก็เขียนไม่ออก แล้วจะทำอย่างไรดีหละ ผลัดมานานแล้ว เอาเป็นว่า เขียนไปเรื่อยเปื่อยก่อนก็แล้วกัน ที่อาจันทร์อยากเขียนเรื่องนี้เพราะมันเป็นความประทับใจ ที่เห็นต้นไม้ต้นเดียวกันมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมีความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากถ้าไม่เฝ้าสังเกตุ แต่ละฤดูอากาศและอุณหภูมิที่มีความแตกต่างกันอย่างมากทำให้ต้นไม้ต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับ สภาพภูมิอากาศ ยกตัวอย่างต้นเชอร์รี่ในสวนที่บ้าน

ฤดูหนาว อากาศหนาวอุณหภูมิติดลบบ้าง บวกนิดหน่อยบ้าง ต้นเชอร์รี่จะไม่มีใบเลย กิ่งก้านลำต้นสีดำ บางครั้งหิมะตกลงมาเกาะทำให้ต้นเชอร์รี่ดูเหมือนมีดอกและใบสีขาวซึ่งก็ดูสวยไปอีกแบบหนึ่ง ช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมกราคมมืดทั้งวันทั้งคืนด้วยนะ เรียกว่าพระอาทิตย์หลับไม่ยอมตื่นเลย
ฤดูใบไม้ผลิ อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น หิมะก็ตกลงมาไม่บ่อยแล้ว จนกระทั่งหิมะเลิกตก น้ำแข็งตามพื้นดินที่เกิดจากหิมะละลายตอนอุณหภูิมิสูงขึ้นกับฉับพลันอุณภูมิติดลบมากๆในตอนกลางคืนก็เริ่มละลาย ใบไม้ของต้นเชอร์รี่ก็ผลิที่ละนิดๆ แต่ไวมาก สามารถเห็นความแตกต่างอย่างรวดเร็ว ช่วงฤดูนี้มีข้อเสียที่เห็นได้ชัดคือ พระอาทิตย์ที่กลับคืนมา แต่หิมะที่ขาวโพลนยังไม่จากไป แสงอาทิตย์กับสีขาวของหิมะสามารถทำให้ปวดหัวและเคืองตาได้ ข้อดีคือความอบอุ่นที่ได้รับกับความหวังตั้งตารอคอยฤดูร้อนที่จะก้าวเข้ามา
ฤดูร้อน อากาศถือว่าร้อน ถ้าเทียบกับฤดูหนาวเพราะอุณหภูมิต่างกัน อธิบายยังไงดีหละ คือจะว่าร้อนก็ไม่ร้อนถ้าเทียบกับอุณหภูมิที่สูงมากสม่ำเสมออย่างเมืองไทย สรุปอย่างนี้คือมันเคยหนาวมากขนาดติดลบ 10 15 20 องศา พออุณภูมิสูงขึ้นมาเช่นประมาณบวก 12-15องศา ก็ร้อนแล้ว ช่วงนี้ต้นเชอร์รี่ก็จะเขียวมาก เพราะใบเต็มต้นไปหมด กับมีดอกสีขาวขนาดเล็กๆบานสะพรั่ง รอสักหน่อยดอกก็จะกลายเป็นผลเชอรรี่สีเขียวอ่อน ช่วงเดือนมิถุนายนมีแสงสว่างทั้งวันทั้งคืนด้วย เรียกว่าพระอาทิตย์ไม่ยอมหลับนอนเลย หรือที่คนทั่วไปรู้จักหรือเรียกกันว่า "พระอาทิตย์เที่ยงคืน"
ฤดูใบไม้ร่วง อากาศในตอนกลางคืนก็หนาวมากขึ้นเพราะอุณหภูมิเริ่มลดต่ำลง ผลเชอร์รี่ที่เขียวอ่อนก็เริ่มเปลี่ยนสี เหลืองๆ ส้มๆ แดงๆ แล้วก็แดงจัดจ้านสุกเปล่งปลั่ง เต็มต้นไปหมด จากนั้นอากาศหนาวมากขึ้นทุกทีๆ ใบที่เขียวก็เปลี่ยนสี ออกเหลือง เหลืองทั้งใบ น้ำตาล และเหี่ยวแห้งล่วงหลุดจากกิ่งก้าน ในที่สุดก็เหลือแต่ลำต้นกิ่งก้านที่ไร้ใบ ตลอดฤดูใบไม้ร่วงมีข้อดีคือ ในแต่ละวันมีความสมดุลย์ของแสงสว่างกับความมืด และแล้วในเดือนพฤศจิกายนก็เข้าสู่ฤดูหนาวต่อไป ต้นเชอร์รี่ก็จะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ

ต้นชอร์รี่ต้นนี้ลูกดกใช้ได้ เก็บกินสดๆ ก็คงไม่ไหว เพราะมันไม่ใช่ชนิดเดียวกันกับเชอร์รี่ลูกใหญ่สีม่วงที่มีขายที่เยาวราช มันอร่อยสู้ชนิดนั้นไม่ได้ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้นกก็จะมาจิกกิน แบ่งให้นกกินบ้างก็คงไม่เป็นไร แต่ทั้งนกทั้งคนกินไม่ทันผลเชอร์รี่ก็จะหล่นจากต้นไปบนพื้นดินเสียหมด ปีที่แล้วเป็นปีแรกที่่เก็บผลเชอร์รี่ต้นนี้ทำไวน์ เก็บได้ประมาณ 14กิโล หมักไว้เมื่อฤดูใบไม้ร่วงซึ่งตอนนี้ก็นานเกือบจะชนปี สามารถบรรจุใส่ขวดได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้จัดการทำเลย มีแต่รูปต้นเชอร์รี่เฉพาะฤดูร้อนมาฝากก่อน วันหลังจะถ่ายรูปต้นเชอร์รี่ในฤดูต่างๆ คงต้องรอไปก่อน


อาจันทร์ก็ได้ข้อคิดจากการเฝ้าสังเกตุต้นไม้ใบหญ้าที่นี่แหละเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต "ต้นไม้ยังสู้ ปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศได้ ไม่อยากอายต้นไม้มัน....."
>(^.^)<

Friday, May 28, 2010

ความสุขที่ถูกมองข้าม

ได้อ่านบทความ"ธรรมะ" เรื่องความสุขที่ถูกมองข้าม โดย พระไพศาล วิสาโล และวันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ขอถือโอกาสนำมาโพสท์ไว้ในบล็อกนี้ วันหลังได้กลับมาอ่านใหม่ได้อีก

(หลายคนคงได้ทำบุญในวันนี้ และไปเวียนเทียนตอนหัวค่ำ จำได้ว่าล่าสุดที่ไปเวียนเทียนในวันวิสาขบูชาเมื่อปีพศ. 2545 หรือ ปี 2002 ตอนนั้นโซเฟียอยู่ในท้องอาจันทร์ ที่ได้ไปเพราะกลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย และได้รับการสนับสนุนจากพี่ชายใจบุญ "เปี๊ยก" บอกไปทำบุญกัน เวียนเทียนที่วัด จำชื่อไม่ได้แล้วซิ วัดใกล้บ้านนั่นแหละ อาจันทร์ต้องถามพลอยกับสวยว่าชื่อวัดอะไร เพราะเธอสองคนก็ไปกับอาจันทร์ด้วย เบอร์เกอร์ก็ไปด้วย "เปี๊ยก" บอกว่า พาฝรั่งไปดูด้วยไง จะได้เห็นขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของเรา)

ลองอ่านกันดู อาจได้คิดและมีความสุขมากขึ้น
"คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า "ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง" เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด

แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่ แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน

ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน

พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม

บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?

เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน

นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา

การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ

บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น

แทนที่จะแสวงหาความสุขจากการได้ ลองหันมาหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะความภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละ ก็ไม่ยากที่จะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือความสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง"
ขอขอบคุณภาพประกอบจากโรงเรียนวัดใต้(ราษฎรนิรมิต)

Friday, April 30, 2010

บ้านพร้อมที่ดิน

ช่วง2-3อาทิตย์ที่ผ่านมาหรือเป็นเดือนได้แล้วมั้ง อาจันทร์นั่งหน้าคอมฯ วันละหลายชั่วโมง ไม่ได้เขียนบล็อกเลย แต่หาข้อมูลเกี่ยวกับบ้านและที่ดิน เขียนสรุปสั้นสุดๆได้
1. หาบริษัทสร้างบ้าน
2. หาคอนโดและบ้านแถวถนนพระราม 2
3. หาคอนโดกรุงเทพ และเชียงใหม่
4. ที่ดินเพชรบูรณ์
5. สร้างบ้านไม้สำเร็จรูป
6. บ้านจัดสรรที่หัวหิน
เอารูป “บ้านพร้อมที่ดิน” ที่หัวหินมาฝากราคาประมาณ 2ล้านบวกลบนิดหน่อยเอาใครชอบแบบไหนเลือกกันเอาเอง






Saturday, March 27, 2010

ตกลงตลกเล่นหรือเรื่องจริงกันเนี่ย

วันนี้แวะเข้าไปอ่านบล็อกของเพื่อนสาว "เหมียว" ส่วนใหญ่แล้วเหมียวเน้นสื่อเรื่อง"การเมือง" แต่อ่านเจออันนี้ถูกใจเข้าได้กับบล็อกบ้านเรา "สุขภาพ" เป็นการแปลด้วยได้ความรู้ด้านภาษาอีกต่างหาก คนแปลเก่งภาษาที่ออกมามันก็ลื่นไหลไม่สะดุดเลย แถมอารมณ์ขันแบบปรัชญาอย่างนี้ ตกลงตลกเล่นหรือเรื่องจริงกันเนี่ย ลองอ่านดู "รอยยิ้มวันสบาย เปิดซองวันอาทิตย์ กับ เปลว สีเงิน" http://www.oknation.net/blog/neroli/2010/03/07/entry-2

Q: Doctor, I've heard that cardiovascular exercise can prolong life. Is this true?

คุณหมอครับ ผมเคยได้ยินว่าการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ (ออกแบบเหือกๆ แบบหนักๆ ต่อเนื่องๆ เหงื่อซกๆๆๆ) สามารถทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้จริงไหมครับ

A: Your heart is only good for so many beats, and that's it... don't waste them on exercise. Everything wears out eventually. Speeding up your heart will not make you live longer; that's like saying you can extend the life of your car by driving it faster. Want to live longer? Take a nap.

นี่คุณ หัวใจน่ะมันใช้ได้ดีสำหรับเต้นตึ๊กๆๆ ไม่กี่ครั้งเองนะ พูดง่ายๆ ก็คืออย่าไปเสียเวลาออกกำลังเลย ทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งใช้เข้าๆ มันก็หมดเกลี้ยงนะ ฉะนั้นการทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นบ่อยๆ น่ะไม่ได้ช่วยให้อายุยืนหรอก ก็เหมือนๆ กับถ้าคุณจะพูดว่าขับรถเร็วๆ จะทำให้รถของคุณคงทนขึ้นอย่างนั้นน่ะเหรอ? ถ้าอยากอยู่นานๆ ก็งีบหลับซะเหอะ

Q: Should I cut down on meat and eat more fruits and vegetables?

ผมควรจะลดปริมาณการกินเนื้อ แล้วเพิ่มการกินผักผลไม้ไหมครับ?

A: You must grasp logistical efficiencies. What does a cow eat? Hay and corn. And what are these? Vegetables. So a steak is nothing more than an efficient mechanism of delivering vegetables to your system. Need grain? Eat chicken. Beef is also a good source of field grass (green leafy vegetable). And a pork chop can give you 100% of your recommended daily allowance of vegetable products.

ใช้ วิจารณญาณเชิงตรรกะเหตุผลเอาละกันคุณ วัวมันกินอะไรล่ะ? ก็หญ้าแห้งและก็ข้าวโพด ซึ่งไอ้สองอย่างนี้มันคืออะไรล่ะ? ก็ผักไง! ฉะนั้นการกินเนื้อสเต๊กเนี่ยะ มันคือหนทางที่มีประสิทธิภาพในการส่งผักเข้าสู่ร่างกายเรา ถ้าต้องการธัญพืชเหรอ? ก็กินไก่สิ! ยิ่งกว่านั้นนะคุณ เนื้อวัวน่ะยังเป็นแหล่งผักใบเขียวที่ดีด้วย (ก็วัวมันกินหญ้าเขียวๆ) และพอร์คช็อปน่ะสามารถให้คุณค่าทางอาหารจากพืชที่เพียงพอต่อความต้องการของ คุณในวันนึงเลยทีเดียว

Q: Should I reduce my alcohol intake?

ผมควรจะลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงไหม ครับ

A: No, not at all. Wine is made from fruit. Brandy is distilled wine, that means they take the water out of the fruity bit so you get even more of the goodness that way. Beer is also made out of grain. Bottoms up!

ไม่ ไม่จำเป็นเลย ไวน์น่ะทำมาจากผลไม้ บรั่นดีก็คือไวน์ที่กลั่นแล้ว นั่นหมายความว่าส่วนที่เป็นน้ำถูกเอาออกไปจากส่วนผลไม้ มันก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลยน่ะสิ เบียร์ก็มาจากธัญพืช เอ้า...หมดแก้ว!!!!

Q: What are some of the advantages of participating in a regular exercise program?

ประโยชน์ ของการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอคืออะไรครับ?

A: Can't think of a single one, sorry. My philosophy is: No Pain...Good!

หมอเองยังคิดไม่ออกสักข้อเลยคุณ เสียใจด้วยนะ ปรัชญาของหมอคืออะไรที่ไม่ทรมานก็ดีทั้งนั้นแหละ!

Q: Aren't fried foods bad for you?

อาหาร ทอดๆ นี่มันไม่ดีสำหรับร่างกายใช่ไหมครับ?

A: YOU'RE NOT LISTENING!!! ... Foods are fried these days in vegetable oil. In fact, they're permeated in it. How could getting more vegetables be bad for you?

คุณ นี่หูแตกรึไง!! ปัจจุบันนี้อาหารทอดก็ถูกทอดในน้ำมันพืชทั้งนั้นแหละ และน้ำมันพืชก็อยู่ในอาหารพวกนั้นนี่นา แล้วการกินพืชมากขึ้นมันไม่ดีตรงไหนวะ?

Q: Will sit-ups help prevent me from getting a little soft around the middle?

การ ซิต-อัพช่วยป้องกันไขมันรอบหน้าท้องได้ไหมคะ?

A: Definitely not! When you exercise a muscle, it gets bigger. You should only be doing sit-ups if you want a bigger stomach.

ไม่มี ทาง! เวลาคุณออกกำลังกล้ามเนื้อมันก็จะใหญ่ขึ้น ถ้าคุณอยากมีพุงใหญ่ๆ ก็ซิต-อัพไปเหอะ

Q: Is chocolate bad for me?

ช็อกโกแลตนี่ไม่ดีใช่มั้ยคะ

A: Are you crazy? HELLO Cocoa beans! Another bean!!! Beans are good for you. It's the best feel-good food around!

บ้ารึเปล่าคุณ? โว้ย ยยยยยยย ก็เมล็ดโกโก้ไงเล่า!!!! แล้วธัญพืชมันก็ดีสำหรับคุณ ช็อกโกแลตน่ะมันเป็นอาหารที่เยี่ยมที่สุด!

Q: Is swimming good for your figure?

การ ว่ายน้ำดีต่อรูปร่างมั้ยคะ?

A: If swimming is good for your figure, explain whales to me.

ก็ถ้ามันดีจริง ไหนอธิบายซิว่า ปลาวาฬหุ่นดีแค่ไหนกันเชียว

Q: Is getting in-shape important for my lifestyle?

การ มีรูปร่างดีๆ สำคัญต่อชีวิตมั้ยคะ?

A: Hey! 'Round' is a shape!

โธ่เว้ย! แล้วทรงกลมๆ มันก็เป็น "รูปร่าง" ไม่ใช่เรอะ

Well, I hope this has cleared up any misconceptions you may have had about food and diets.

เอาล่ะ นี่คงแก้ปัญหาความเข้าใจที่ผิดๆ เรื่องโภชนาการที่ดีได้แล้วนะ

And remember: และก็จำไว้ด้วยว่า

'Life should NOT be a journey to the grave with the intention of arriving safely in an attractive and well preserved body, but rather to skid in sideways - Chardonnay in one hand - chocolate in the other - body thoroughly used up, totally worn out and screaming 'WOO HOO, What a Ride'

ชีวิตน่ะมันไม่ใช่การฝังจิตฝังใจเอาไว้กับการระมัด ระวังเพื่อรักษารูปร่างให้ดีๆ ไว้ แต่มันควรเป็นเหมือนการเล่นสไลเดอร์ มือข้างนึงถือไวน์ชาร์ดองเนไว้ และถือช็อกโกแลตไว้ในมืออีกข้าง ใช้ร่างกายทั้งหมดให้คุ้มๆ แหกปากกู่ก้องเว้ยเฮ้ยยยยยย!!!! สนุกอะไรอย่างนี้!!

AND.....แล้วก็ นะ....

For those of you who watch what you eat, here's the final word on nutrition and health. It's a relief to know the truth after all those conflicting nutritional studies.

สำหรับพวกที่ต้องคอยดูแล้วดูอีกว่ากินอะไรเข้าไปยัง ไงบ้าง อ่านด้านล่างนี่ซะ นี่คือข้อสรุปเกี่ยวกับโภชนาการและสุขภาพ อ่านแล้วจะโล่งเอามากๆ เลยที่ได้รู้ความจริงหลังจากที่ผลวิจัยทางโภชนาการเขาถกเถียงกันมานาน

1.The Japanese eat very little fat and suffer fewer heart attacks than Americans.

คน ญี่ปุ่นบริโภคไขมันน้อย และก็มีภาวะหัวใจวายน้อยกว่าคนอเมริกัน

2.The Mexicans eat a lot of fat and suffer fewer heart attacks than Americans.

คน เม็กซิกันบริโภคไขมันเยอะโคตรๆ แต่ก็มีภาวะหัวใจวายน้อยกว่าคนอเมริกัน

3.The Chinese drink very little red wine and suffer fewer heart attacks than Americans.

คนจีนไม่ค่อยดื่มไวน์แดง และมีภาวะหัวใจวายน้อยกว่าคนอเมริกัน

4.The Italians drink a lot of red wine and suffer fewer heart attacks than Americans.

คน อิตาเลียนดื่มไวน์แดงเยอะมากๆ แต่ก็มีภาวะหัวใจวายน้อยกว่าคนอเมริกัน

5.The Germans drink a lot of beers and eat lots of sausages and fats and suffer fewer heart attacks than Americans.

คนเยอรมันตะบี้ตะบันดื่มเบียร์ แถมยังยัดทะนานกินไส้กรอกและก็พวกอาหารไขมัน แต่ก็มีภาวะหัวใจวายน้อยกว่าคนอเมริกัน

CONCLUSION ข้อสรุปก็คือ........

Eat and drink what you like. ชอบอะไรก็กินๆ ดื่มๆ มันเข้าไปเหอะ.


ขอขอบคุณ : คอลัมน์เปิดซองวันอาทิตย์ ๗ มีนาคม ๒๕๕๓

Saturday, February 27, 2010

วันนี้วันเกิดพี่ชาย

27 กุมภาพันธ์ 2504 ปีฉลู เป็นวันเกิดพี่ชาย "พี่เปี๊ยก" ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ อายุ 49ปี พี่ชายเราคนนี้ชีวิตผกผัน โลดโผน ต่างไปจากพี่น้องคนอื่นๆอย่างมาก คิดว่าน่าจะมีส่วนจากการคบเพื่อนที่ไม่ใช่ "บัณฑิต"สักคน ได้นำฟอร์เวร์ดจากเพื่อนที่ได้รับวันนี้ แบบอ่านง่ายได้ไอเดียเพื่อเป็นแนวทางในการคบเพื่อน และปฎิบัติตนให้ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนที่ดี

เพื่อนดีๆคือเพื่อนอย่างไร???

คอยเตือน ยามเพื่อนพลั้ง

คอยฟัง ยามเพื่อนขอ

คอยรอ ยามเพื่อนสาย

คอยพาย ยามเพื่อนพัก

คอยทัก ยามเพื่อนทุกข์

คอยปลุก ยามเพื่อนท้อ

คอยง้อ ยามเพื่อนงอน

คอยสอน ยามเพื่อนผิด

คอยสะกิด ยามเพื่อนเผลอ

คอยเจอ ยามเพื่อนหา

คอยลา ยามเพื่อนกลับ

คอยปรับ ยามเพื่อนเปลี่ยน

คอยเรียน ยามเพื่อนเที่ยว

คอยเคี่ยว ยามเพื่อนเล่น

คอยเย็น ยามเพื่อนร้อน

คอยหอน ยามเพื่อนเห่า

คอยเฝ้า ยามเพื่อนฟุบ

คอยอุบ ยามเพื่อนปิด

คอยคิด ยามเพื่อนถาม

คอยปราม ยามเพื่อนหลง

คอยปลง ยามเพื่อนแกล้ง

คอยแบ่ง ยามเพื่อนหมด

คอยอด ยามเพื่อนทาน

คอยคาน ยามเพื่อนล้ม

คอยชม ยามเพื่อนชนะ

คอยสละ ยามเพื่อนชอบ

Saturday, February 13, 2010

ทำไมดิฉันถึงไม่ขอสัญชาตินอร์เวย์

ได้เขียนเรื่องนี้ในฟอรัมแห่งหนึ่ง คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ เลยนำมาใส่ไว้ในบล็อกทั้งบล็อกไทยและบล็อกนอร์เวย์

"เรื่องนี้น่าสนใจ norsk statsborgerskap ป้าว่าน่าจะระดมความคิดว่า การได้ norsk statsborgerskap สำหรับหญิงไทยที่แต่งงานกับชายชาวนอร์เวย์ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เพื่อเป็นข้อสรุปหรือแนวทางในการตัดสินใจว่าจะสมัครขอเป็นพลเมืองของประเทศ นี้ดีไหม คนเราจะตัดสินใจทำอะไรก็ต้องคำนวณก่อน มาใครจะบวกลบคูณหาร ถอดสแควร์รูท เชิญค่ะ เพื่อเป็นประโยชน์ กับผู้อ่าน ผู้ที่อยู่ระหว่างตัดสินใจ..... "

"ป้าก็เลยขอแสดงความคิดเห็น เพื่อเป็นข้อมูล เมื่ออ่านแล้วอาจมองต่างมุมออกไป ก็โต้แย้งได้ หรือมีข้อมูลเพิ่มเติมก็เสริมได้นะคะ จะได้มีข้มูลที่มีประโยชน์เพิ่มมากขึ้น

ข้อดี
ข้อดีของการสละสัญชาติไทยคือ ทำให้สามีภรรยาเป็นบุคคลสัญชาติเดียวกันทั้งครอบครัว และคุณได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฏหมายของประเทศของคู่สมรส เช่นสามารถทำพาสปอร์ตของประเทศนั้นๆ ได้ และได้สิทธิในการตรวจลงตราวีซ่าในบางประเทศ ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลทำไว้

1.ทำให้สามีภรรยาเป็นบุคคลสัญชาติเดียวกันทั้งครอบครัว ข้อนี้ไม่นับหรือถือว่าเป็นข้อดีสำหรับป้า

2.คุณได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฏหมายของประเทศของคู่สมรส ข้อนี้ป้าเห็นว่าถึงไม่เปลี่ยนสัญชาติป้าก็ได้สิทธิประโยชน์จากรัฐทุกเรื่องเหมือนกัน/เท่าเทียม เพียงแต่ไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งป้าก็ไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญมากนัก
I denne sammenheng framhever jeg at innehavere av bosettingstillatelse oppnår rettigheter som langt på vei likestiller dem med norske statsborgere.

Jeg er medlem i folketrygden, og jeg får like rettigheter som norske statsborgere.
Jeg har også arbeidstillatelse og jeg får rett til å arbeide i Norge.
Jeg har de fleste rettigheter som norske statsborgere.

Det er kun Eksempel på unntak er stemmerett ved stortingsvalg.
(En av de sentrale rettighetene som er forbeholdt norske statsborgere, er retten til...å stemme ved valg til Stortinget, samt retten og plikten til å stille til valg som stortingsrepresentant. )


3.สามารถทำพาสปอร์ตของประเทศนั้นๆ ได้ และได้สิทธิในการตรวจลงตราวีซ่า ข้อนี้ป้าว่า คงไม่มีความจำเป็นนัก เพราะป้ามีวีซ่านอร์เวย์ จะเดินทางไปเที่ยวในประเทศไหนในแถบยุโรปส่วนใหญ่ แล้วไม่ต้องขอวีซ่าอีก ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ เมื่อหลายปีที่แล้วเคยลองเช็คว่าประเทศใดในยุโรปที่ป้าต้องขอวีซ่า ก็มีอังกฤษ กับ สวิส แต่ตอนนี้เข้าใจว่า ไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว หรือเปล่า? ขี้เกียจเช็คอย่างจริงจังเ รื่องนี้ป้าไม่นับ ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร ลองคิดในทางกลับกัน ตัวอย่างเช่น ประเทศรัสเซีย สัญชาติไทยไม่ต้องขอวีซ่าสามารถพำนักได้ 30 วัน แต่สัญชาตินอร์เวย์ต้องขอวีซ่า
(Både nordmenn og utenlandske borgere med oppholdstillatelse i Norge får enklere adgang til Sveits når landet blir med i Schengen-samarbeidet fra 12. desember...)

ข้อเสีย
ตามกฏหมายสัญชาติของบางประเทศ ไม่ยินยอมให้คุณถือสองสัญชาติ ดังนั้นคุณต้องทำเรื่องสละสัญชาติไทยก่อน เพื่อดำเนินการแปลงสัญชาติตามคู่สมรส แต่หลายประเทศไม่มีข้อห้ามเรื่องการถือสองสัญชาติ ดังนั้นคุณก็ยังคงสัญชาติไทยไว้ได้ ไม่ต้องทำเรื่องขอสละสัญชาติแต่อย่างใด

การสูญเสียสัญชาติไทยนั้น จะมีผลก็ต่อเมื่อมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนั้นสถานภาพของคุณก็จะกลายเป็น คนต่างด้าว ในประเทศไทย ซึ่งจะมีผลดังนี้คือ
1.กระทรวงมหาดไทยจะคัดรายชื่อคุณออกจากฐานทะเบียนราษฏร์ คุณก็จะไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ไม่สามารถทำบัตรประชาชน ใบขับขี่ไทย พาสปอร์ตไทยอีกต่อไป

2.เวลาคุณเดินทางเข้าประเทศไทย คุณต้องทำตามข้อกำหนดเรื่องวีซ่าที่ไทยมีกับประเทศที่คุณถือสัญชาติเขา เช่น ต้องขอวีซ่าท่องเที่ยวถ้าจะอยู่เกินกำหนด ฯลฯ คุณไม่สามารถอยู่ในประเทศไทยได้ทีละนานๆ ตามใจฉันอีกต่อไป

3.หากคุณไปตกทุกข์ได้ยากในต่างแดน คุณไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ เพราะคุณไม่ใช่คนไทยแล้ว คุณต้องไปขอความช่วยเหลือ จากสถานกงสุลของประเทศที่คุณถือสัญชาติเขาเท่านั้น

4.คุณไม่มีสิทธิในออกเสียงการเลือกตั้ง หรือกิจกรรมทางการเมืองทุกอย่าง

5.การประกอบอาชีพอิสระในประเทศไทย มีข้อจำกัดว่าคนต่างด้าวทำอะไรได้แค่ไหน เมื่อคุณเป็น คนต่างด้าว แล้ว คุณก็จะถูกจำกัดสิทธิเรื่องนี้ด้วย ดูรายละเอียดจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว ปี 2551

6.การถือครองที่ดิน ต้องเป็นไปตามประมวลกฏหมายที่ดิน ซึ่งกำหนดว่า คนต่างด้าวที่ต้องการถือครองที่ดินในประเทศไทย จะต้องนำเงินมาลงทุนในไทย ไม่ต่ำกว่าสี่สิบล้านบาท และต้องได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงจะสามารถถือครองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ไม่เกินหนึ่งไร่ หากคุณได้รับมรดกเป็นบ้านหรือที่ดิน คุณไม่สามารถถือครองได้ ต้องขายออกไปภายในหนึ่งปี

7.การถือครองอาคารชุด ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติอาคารชุด

8.นอกจากนั้นสิทธิและหน้าที่ของคนต่างด้าวในเรื่องอื่นๆ ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฏหมาย

อ่านต่อได้จาก ลิงค์ หากคุณไปตกทุกข์ได้ยากในต่างแดน คุณไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ เพราะคุณไม่ใช่คนไทยแล้ว คุณต้องไปขอความช่วยเหลือ จากสถานกงสุลของประเทศที่คุณถือสัญชาติเขาเท่านั้น ข้อนี้อาจถือเป็นข้อดี เพราะถ้ามองว่ารัฐบาลนอร์เวย์ให้ความช่วยเหลือคนของเขาดีกว่ารัฐบาลไทย แต่ป้าว่าไม่แน่นะ เรื่องนี้ต้องเข้าไปอ่านกฏหมายระหว่างประเทศ เปรียบเทียบนโยบายการให้ความช่วยเหลือ รายละเอียดต่างๆ

อื่นๆ
ป้าย้ายมาอยู่นอร์เวย์อายุ 34ปีแล้ว* ความผูกพันธ์ ความสำนึกในความเป็นไทยค่อนข้างสูง และตอนนี้ก็ยังไม่แก่มาก เลยไม่ได้คิดเรื่อง ถ้าแก่แล้วไปอยู่เมืองไทยใครจะดูแล นึกแต่เพียงโอกาสที่ยังยึดติดกับบ้านเกิดเมืองนอนได้ ก็คือนอกจากมีเชื้อชาติไทยแล้ว ก็ยังคงถือสัญชาติไทยอยู่ ถึงแม้จะต้องอยู่ต่างแดนที่หนาวเหน็บ เพราะมีหน้าที่ที่สำคัญทีสุดที่ต้องทำให้ลุล่วง "หน้าที่แม่" ป้าคิดเล่นๆ อยากกลับไปตายเมืองไทย ไม่อยากนอนตายหนาวที่นอร์เวย์ ไหนๆ ตอนเป็นเป็นก็ทนหนาวมานานแล้ว ตอนตายไม่อยากหนาวอีก เป็นไงป้าจันทร์แกแอสแตรคมากๆ แต่ก็มีนัยยะสำคัญอยู่ เรื่องจิตวิญญาณเชียวนะ (*ในกรณีเด็กเล็กๆ ที่อายุน้อยกว่า 10ปี ลงไป น่าจะมีความผูกพันธ์ต่อบ้านเกิดน้อยไปด้วย บางคนไม่สามารถพูดไทยได้แล้ว และถูกหล่อหลอมด้วยสังคมสิ่งแวดล้อมใหม่ที่ได้รับ)

ป้าเดินทางกลับเมืองไทยทุกปี ปีนี้จะกลับไปอยู่ 2เดือน (ซื้อตั๋วแล้ว) จะเดินทางออกนอกประเทศก็ต้องเอาหนังสือเดินทางไปต่ออายุ ทุก 2ปี ปีที่แล้วไม่ต้องต่อ ปีนี้ต้องต่อ ยังไม่เคยต้องเสียค่าธรรมเนียม ป้าลองหาข้อมูลล่าสุดค่าธรรมเนียมจากเว็บยูดีไอ ในกรณีของป้า มันไม่ตรงและไม่ชัดเจน วันนี้ป้าเลยโทรไปถามเพื่อนว่าต่ออายุเสียค่าธรรมเนียมหรือเปล่า เพื่อนป้าต่อเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วบอกว่าไม่เสีย (ตอนป้าต่ออายุวีซ่าถาวร ยื่นเรื่องไม่เห็นต้องทำอะไรมาก แค่กรอกใบสมัคร เจ้าหน้าที่ก็ทำให้ แบบนั่งรอรับได้เลย ส่วนต่ออายุทุก 2ปี เพราะเดินทางกลับเมืองไทย ก็เอาหนังสือเดินทางไปให้เจ้าหน้าที่เช็คดูรายละเอียด ทำเรื่องให้ รอรับได้เลย ไม่ต้องกรอกใบสมัครอะไรด้วย)

ป้าคงไม่กลับไปอยู่เมืองไทยถาวร แต่จะไปอยู่ให้นานที่สุดเท่าที่โอกาสจะเป็นไปได้ในทุกช่วงของชีวิต คิดว่าในขั้นสุดแล้วน่าจะอยู่เมืองไทยได้ 6 เดือน และนอร์เวย์ 6 เดือน เรียกว่าหนีหนาวไปอยู่ไทย พออากาศดีที่นอร์เวย์ก็จะกลับมาอยู่นอร์เวย์ และไม่เสียสิทธิ์เกษียณ ต้องกลับมาเยี่ยมโซเฟีย โซเฟียก็ต้องไปเยี่ยมแม่ที่เมืองไทย กรณีที่ป้ายังถือสัญชาติไทย น่าจะทำเรื่องขอวีซ่าให้สามีและลูกอยู่เมืองไทยนานๆ ได้ง่ายขึ้น (ไม่ได้หาข้อมูลรายละเอียด แต่ตามหลักสามัญสำนึก ต้องเป็นอย่างนั้น)

กรณีถ้าไม่อาศัยอยู่ที่นอร์เวย์ เกิน 2 ปี โดยไม่ทำเรื่องแจ้งรัฐบาลนอร์เวย์ ถือว่าวีซ่าถาวรขาด และหมดสิทธิประโยชน์อื่นๆ ก็คงไม่ใช่สาระที่จะเอามานับ เพราะว่าเรารู้กฏเกณฑ์ ก็ต้องหลีกเลี่ยงไม่ทำผิดกฏ แล้วจะเสียผลประโยชน์ แต่สังเกตุโอกาสเป็นไปได้ที่จะไปอยู่เมืองไทยนาน 2ปี แค่ทำเรื่องยื่นแจ้งรัฐบาลนอร์เวย์

เพื่อนป้าคนหนึ่งมาอยู่นอร์เวย์ก่อนป้า 1ปี แล้วลืมไปต่อวีซ่าถาวร ปรากฏว่า เธอต้องเริ่มต้นนับใหม่ เพราะฉะนั้น อ ย่ า ลื ม

เมื่อตอนโซเฟียเกิด ป้าจะทำเรื่องถือสัญชาติไทยให้ ตอนนั้น รัฐบาลนอร์เวย์ยังอนุญาตให้ถือสองสัญชาติได้ แต่พ่อโซเฟียไม่เห็นด้วย ให้เหตุผลเรื่อง หากโซเฟียไปตกทุกข์ได้ยากในต่างแดน มีปัญหาในประเทศที่สาม ใครจะให้ความช่วยเหลือโซเฟีย เพราะถือทั้ง 2สัญชาติ ป้าก็ดูเรื่องกระดาษ และมีสอบถามเลขาทูตที่ออสโล ถ้าจะทำต้องให้พ่อเซ็นรับรอง ถ้าพ่อไม่เซ็นทางสถานทูตทำให้ไม่ได้ ก็เลยต้องจบเรื่องไว้แค่นั้น ถ้าจำไม่ผิดเมื่อปี 2005 รัฐบาลนอร์เวย์ออกกฏหมายห้ามถือสองสัญชาติ เรื่องก็เลยจบสนิท

เขียนซะยาวเลย จริงๆ แล้ว บางส่วนเป็นการคัดลอกข้อมูลเพื่อให้มีความน่าเชื่อถืออ้างอิงได้ หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน อย่าลืมกฏหมายมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะฉะนั้นต้องมีข้อมูลที่ทันสมัย ทำให้นึกกลัวว่าข้อมูลที่คัดลอกมาจะไม่ทันสมัย (นิติกรเขียนเมื่อ 02/03/2009)"

Wednesday, January 20, 2010

เพื่อนนั้นสำคัญไฉน

"คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล" เพื่อนนั้นสำคัญไฉน ลูกหลานทั้งหลายมาฟังอาจันทร์หน่อย เพื่อนสำคัญมากๆ ยิ่งวัยอย่างพวกเธอ เพื่อนมีิอิทธิพลมากต่ออนาคต เพราะฉะนั้นใช้วิจารณญาณในการคบหาเพื่อน อาจันทร์ได้รับเมล์บ้างฟอร์เวิร์ดบ้างเกี่ยวกับเรื่องเพื่อน เขียนไว้ดีมาก ลึกซึ้งงกินใจ แต่ไม่ยกมาเป็นตัวอย่างหรอก เอาแบบแค่คิดได้ก็พอ

เพื่อนอาจันทร์คนนี้ถือว่าเป็นบัณฑิตในชีวิตการคบเพื่อนของอาจันทร์ ได้คุยได้เล่นได้กินได้เที่ยวได้สนุกได้ปรึกษาได้พักอาศัยได้รับความช่วยเหลือ โอโห้ มีแต่ได้ จริงๆ ก็ให้เหมือนกัน หรือเปล่าหนอ ฮ๊า เหมียว เรื่องเพื่อนน่าจะเป็นเรื่องของการได้และการให้มั้ง ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็คือหลักใหญ่ของทุกเรื่องในชีวิตคนเรานั่นแหละ

อาจันทร์เขียนบล็อกเพื่อน"เหมียว" ก็ยังมาช่วยเชียร์ ทั้งๆ ที่ไม่ได้คุยกับมาหลายเดือนแล้ว แต่เหมือนได้คุยแฮะ แปลกจัง นี่ไงสำนวนอาเหมียวเขียนให้อาจันทร์ ยังกับนักเขียนเลยเนอะ

วันจันทร์ ที่ 7 ธันวาคม 2552
สำหรับผู้สนใจเรียนภาษานอร์เวย์ thaikursfornorsk
Posted by neroli , ผู้อ่าน : 205 , 20:06:23 น.
หมวด : การศึกษา

ขอแนะนำอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่อยากเรียนภาษานอร์เวย์ด้วยตนเอง

โดย วงศ์จันทร์ กันทา blogger สาวไทย ผู้ที่โชคชะตานำพาไปใช้ชีวิตต่างแดน เริ่มเขียนblogเป็นงานอดิเรกในยามที่อยู่ไกลบ้านเกิด เธอสามารถถ่ายทอดความรู้จากประสพการณ์ตรงเพื่อผู้สนใจเรียนภาษานอร์เวย์ ที่นอกจากยากในการเรียนรู้แล้วแต่ยังหาที่เรียนได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นตำหรับตำราส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาอังกฤษทำให้อุปสรรคในการศึกษาเพิ่มขึ้นไปอีก เป็นเหตุให้จำนวนคนไทยที่มีทักษะในภาษานี้มีจำนวนค่อนข้างน้อย

น่า ชื่นชมผู้เขียนที่เดิมแม้ไม่มีประสพการณ์ในเรื่องการเรียนการสอนและได้เริ่ม เรียนภาษานอร์เวย์ตอนเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ใช้ความสามารถเฉพาะตัวร้อยเรียงตัว อักษรเพื่อถ่ายทอดความรู้ได้น่าอ่าน ไม่เสียชื่อบล็อกเกอร์สาวไทยในแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน หวังว่าคงมีประโยชน์สำหรับผู้รักภาษาทุกท่าน

เชิญอ่านค่ะ
http://thaikursfornorsk.blogspot.com/2009_02_01_archive.html

แวะเยี่ยมอาเหมียวได้ที่นี่ http://www.oknation.net/blog/neroli/2009/12/07/entry-1

Wednesday, January 13, 2010

ในหลวงในดวงใจ

ครอบครัวกันทาขอแสดงความจงรักภักดีต่อในหลวง คลิกเพื่อร่วมแสดงพลังความรักของคนไทยต่อพระองค์ท่าน
http://www.thailoveking.com/