Wednesday, September 30, 2009

โซเฟียเล่นกระโดดกับเพื่อนๆ

ปีนี้หน้าร้อนที่นอร์เวย์ ดิฉันซื้อ ที่เล่นกระโดดให้โซเฟีย เมื่อก่อนอยู่เมืองใหญ่ "บูด้า" ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับที่เล่นกระโดด ตอนนี้ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ในเมืองเล็กๆ "รองนั่น" มีสวนกับพื้้นที่มากพอจีงได้ซื้อที่เล่นกระโดดให้โซเฟีย สังเกตุได้ว่า บ้านเรือนที่รองนั่น ถ้าบ้านไหนมีเด็กเล็กอยู่ด้วย ก็จะมีที่เล่นกระโดดกันทุกบ้าน ตอนแรกก็กะว่าจะไม่ลงทุน เก็บเงินไว้ใช้ในเรื่องจำเป็นอย่างอื่น โซเฟียไปยืมเล่นกับเพื่อนข้างบ้านก็ได้ แต่ลูกอยากได้ แม่ก็ซื้อทันทีหละจ้า.... มาดูโซเฟียกระโดดนะพี่พลอย พี่สวย พี่เม่น พี่มะเหมียว พี่ปลา ปังปอนด์ น้องงาม และก็น้องหม่อน...

Friday, September 25, 2009

ตากับยาย

เคยได้รับเมล์จากเพื่อนเรื่องตากะยาย เอามาลงบล็อกนี้ เมื่อ 12 กุมภาพันธ์ เรื่องนั้นกินใจ และได้ขำ ส่วนเรื่องตากับยายนี้ก็เป็นเมล์จากเพื่อนอีกนั่นแหละ เรื่องนี้ได้ขำอีก และก็สอนเน้นเรื่องชีวิตคู่ที่ต้อง "แบ่งกัน" หักมุมประโยคสุดท้ายตอนจบ ว่าแบ่งกันจริงๆ...ลองอ่านดู

เรื่องราวน่ารัก ของตากับยายค่ะ

คืนที่ฟ้าฉ่ำฝน
> ... ตายายคู่หนึ่งจูงมือ ค่อย ๆ พากันเดินเข้าร้าน McDonalds
> แลดูแปลกตาท่ามกลางเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาว
> สายตาหลายคู่จ้องมองมาอย่างชื่นชมในความรักที่ยืนยาวมากว่าครึ่งศตวรรษของสองตายาย
>
> ตาเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์สั่งอาหารชุด และชำระเงินอย่างคุ้นเคย
> ก่อนพายายไปเลือกหาที่นั่งริมในสุดของร้าน
> ตายายช่วยกันนำอาหารออกจากถาด ตาค่อย ๆ แบ่งแฮมเบอร์เกอร์ออกเป็น 2 ส่วน
> เอาเฟรนช์ไฟร์ออกมานับครึ่ง และจัดวางไว้ดูน่ารับประทานข้างหน้ายาย
> คว้าแก้วโค้กมาจิบหนึ่งอีก ส่งให้ยายรับไปจิบหนึ่งอึกก่อนจะวางไว้ตรงกลางเบื้องหน้าทั้งคู่
> ขณะที่ตาเริ่มกินแฮมเบอร์เกอร์ส่วนของตนอยู่
> บรรดาลูกค้าในร้านที่จับตาดูคู่ตายายมาตั้งแต่ต้นเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย
> หลายคนสะกิดกันพลางกระซิบ ......
> 'น่าสงสารจังแกคงมีเงินพอซื้อได้แค่ชุดเดียวมาแบ่งกันมั้ง'
> ชายหนุ่มโต๊ะข้าง ๆ ถึงกับเดินเข้ามาหาพร้อมเสนอตัวขอเป็นเจ้ามือซื้อให้อีกชุดอย่างสุภาพ
> ตายิ้มรับความมีน้ำใจ แต่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า
>
> 'ไม่เป็นไรหรอกมีอะไรเราก็ต้องเอามาแบ่งกันอยู่แล้ว'
> เวลาผ่านไป ทุกคนเริ่มสังเกตว่า
> ยายได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองตากินแฮมเบอร์เกอร์อย่างเอร็ดอร่อย ไม่ยอมแตะต้องส่วนของตน
> นอกจากหยิบโค้กขึ้นมาจิบ ชายหนุ่มคนเดิมตัดสินใจเข้ามาหาอีกครั้ง
> เอ่ยขอร้องให้เขาได้เลี้ยงคู่ตายายที่น่ารักนี้เถอะ
> คราวนี้ยายเป็นฝ่ายปฏิเสธอย่างอ่อนหวาน
> ยืนยันเหมือนเดิมว่ามีอะไรก็ต้องเอามาแบ่งกัน
> เมื่อตารับประทานเสร็จ ขณะหยิบกระดาษมาเช็ดปาก
> ยายก็ยังคงนั่งนิ่งดูสามีสุดที่รักอยู่อย่างนั้นราวกับกลัวว่าเขาจะไม่อิ่มจริงๆ
>
> ชายหนุ่มคนเดิมก็อดรนทนไม่ได้อีก
>
> เอ่ยปากอย่างจริงจังขอตายายอนุญาตให้เขาเลี้ยงสักครั้ง
> แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างสุภาพอีก ...
>
> ชายหนุ่มนึกสงสัย
> 'ทำไมคุณยายไม่รับประทานบ้างเลยครับ ก็ไหนบอกว่ามีอะไรก็ต้องเอามาแบ่งกันไง
> คุณตาก็ทานเสร็จแล้ว ยังรออะไรอยู่หรือครับ? '
> คุณยายตอบเนิบ ๆ ??
> 'รอฟันปลอมจากตาน่ะหลานชาย...'

Friday, September 04, 2009

ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร

ได้รับฟอร์เวิล์ดจากเพื่อน อ่านแล้วก็ขำดี แบ่งกันขำก็แล้วกัน จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่แค่อ่านแล้วขำ แต่ได้รับรู้เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี ลองอ่านดูจากต้นฉบับ

ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร

1. นิมนต์พระ
หลังจากที่เราเตรียมสำรับกับข้าวเรียบร้อยแล้ว เราก็ยืนรอพระที่จะเดินบิณฑบาตผ่านมา
การยืนรอพระในขั้นตอนนี้ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า เส้นทางนี้มีพระเดินผ่านหรือไม่
ไม่ใช่ว่าไปรอบนทางสายเปลี่ยวที่ไม่มีพระเดินผ่าน คงไม่ได้ใส่กันพอดี
รอซักพัก พอมีพระเดินมาก็นิมนต์ท่าน

การนิมนต์ ก็ควรใช้คำว่า "นิมนต์ครับ/ค่ะท่าน" แค่นี้พระท่านก็ทราบแล้ว
ตอนเป็นพระเคยเดินบิณฑบาตที่ตลาดเขมร โยมนิมนต์ด้วยถ้อยคำอันรื่นหูว่า
"ท่านเจ้าประคุณเจ้าคะ นิมนต์เจ้าค่ะ" (ใช้คำไฮโซมาก) +

มีอีกทีนึงโยมใช้คำว่า "นิมนต์เจ้าค่ะ พระอาจารย์" (เอ่อ โยม อาตมาเพิ่งบวชอาทิตย์เดียว)
การนิมนต์พระควรนิมนต์ด้วยความสำรวมและใช้เสียงดังพอประมาณ
โยมบางคนเรียกพระด้วยเสียงอันดัง "นิ โมนน!!" (แง้ ทำไมต้องตะคอกด้วย - -")

การนิมนต์ควรสังเกตอายุของพระด้วย
ถ้าอายุน้อยกว่าเราหรือว่าเยอะกว่าไม่มากก็เรียกว่าหลวงพี่ ถ้ามีอายุหน่อยก็เรียกหลวงน้า ถ้าแก่พรรษา
มากก็เรียกหลวงตา หรือนอกจากนี้ก็อาจจะเรียกหลวงอา หลวงลุง หลวงปู่ฯลฯ แล้วแต่จะลำดับญาติ
อย่างฉันปีนี้อายุ ๒๓ ปี หน้าตาค่อนข้างเด็ก แต่เคยมีโยมใช้คำว่า "นิมนต์ค่ะ หลวงลุง" ทำเอาเสีย
self จนอยากสึกออกไปทำ baby face

โยมบางคนคงเขินอายพระ เนื่องจากไม่ค่อยได้ใส่บาตรเท่าไร
เวลาพระเดินมาก็ยื่นมือออกมาทำท่า กวักๆ ทำเหมือนพระเป็นรถเมล์

หลังจากนิมนต์พระ ก็เข้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือ

2. จบ
อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจบแล้วนะ
การจบ หมายถึง การเอามาทูนไว้ที่หัวแล้วอธิษฐาน
การจบ ควรใช้เวลาอธิษฐานแต่พองาม ไม่ต้องอธิษฐานนานจนเกินไป
เคยมีโยมนิมนต์ไปรับบาตร ไอเราก็เดินไปเปิดฝาบาตรรอรับ โยมก็จบอยู่ ขอบอกว่านานมากกกกกกก
นานจนรู้สึกได้ นานจนอดคิดไม่ได้ว่า "โยมขออะไรเราน้า?"

3. ถอดรองเท้า ยืนด้วยเท้าเปล่า
จริงๆแล้ว จุดประสงค์ของการถอดรองเท้าคือเป็นการให้ความเคารพพระสงฆ์โดยการไม่ยืนสูงกว่าท่าน
เพราะเวลาพระสงฆ์บิณฑบาตจะเดินเท้าเปล่า แต่มีญาติโยมบางคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับการถอดรองเท้าซึ่ง
มีหลายประเภทเหมือนกัน เช่น
บางคนถอดรองเท้าอย่างเรียบร้อยแต่ยืนบนรองเท้า - -" (สูงกว่าเดิมอีก)
บางคนถอดรองเท้าและยืนบนพื้นจริง แต่ว่าตัวเองยืนบนฟุตบาท พระยืนบนพื้นถนนซะงั้น (หนักกว่าเก่า)
เคยมีเรื่องเล่าว่า มีโยมคนนึงยืนใส่บาตรพระ พระเห็นว่าโยมใส่รองเท้าเลยแนะนำโยมไปว่า

พระ : "โยม อาตมาว่าโยมควรถอดรองเท้าใส่บาตรนะ"
โยมมีสีหน้าตกกะใจ ตอบพระไปว่า
โยม : เอ่อ จะดีเหรอคะ
พระ : ไม่เป็นไรหรอกโยม
โยมก็จัดแจงถอดรองเท้า ยกขึ้นมาพร้อมกับถามพระว่า
โยม : จะให้ใส่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างเลยคะ
อิบ้า!! ท่านหมายถึงถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าเอามาใส่ในบาตร
อันนี้เป็นเรื่องที่หลวงน้าท่านนึงเล่าให้ฟังระหว่างฉันเพล (เรื่องขำขันขณะฉันเพล)

พอถอดรองเท้าเสร็จก็เข้าสู่ขั้นตอนที่สี่

4. ใส่บาตร
อันนี้ถือเป็นจุดไคลแมกซ์ของการใส่บาตร
สิ่งสำคัญที่ทุกคนมองข้ามก็คือควรดูว่าของที่นำมาใส่บาตรนั้น เสียรึเปล่า
บางคนมีเจตนาอยากทำบุญดี แต่ดันไปซื้อของเสียมาใส่บาตร
พระฉันไป เข้าห้องน้ำไป
พวกร้านค้าก็จริงๆ บางครั้งเอาของค้างคืนมาขายเอากำไร ไม่สนใจพระเจ้า เห็นแก่ตัว หากินกับพระ
ก็ฝากด้วยนะครับ เด๋วทำบุญจะได้บาปเปล่าๆ
นอกจากนี้ ของที่นำมาใส่ ถ้าเพิ่งปรุงสุกเสร็จ ควรดูด้วยว่ามันร้อนมากรึเปล่า
เคยมีโยมใส่แกง ร้อนมากๆๆ บาตรเกือบหล่น ทั้งนี้เพราะบาตรทำจากโลหะ นำความร้อนได้ดี
ปริมาณไม่ควรมากจนเกินไป เคยมีโยมใส่บาตรด้วย "กล้วย ๓ หวี"
กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ อาตมาไม่ว่า แต่นี่ใส่ "กล้วยหอม" (อันนี้เกิดกับตัวเองจริงๆ)
คิดดู "กล้วยหอม ๓ หวี" อยู่ในบาตร หนักมากกกก จนอยากบอกโยมว่า "โยม อาตมาไม่ใช่ช้าง"
การใส่ก็ควรวางในบาตรด้วยอาการสำรวม
โยมผู้หญิงบางคนกลัวโดนพระจัด พอถุงกับข้าวถึงแค่ปากบาตร ก็ปล่อยลงมา ตุ๊บ!!
นึกว่าเซอร์ไอแซค นิวตัน กลับชาติมาทดลองเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก (วางดีๆก็ได้ 55)

ขั้นตอนต่อไปคือ

5. รับพร
หลังจากใส่บาตรเสร็จ พระสงฆ์ส่วนมากก็จะให้พร
เราเป็นญาติโยม ก็ประนมมือรับพรกันตามระเบียบ โดยอาจยืนหรือนั่งยองๆ ก็ได้ ก้มหัวแต่พองาม
เคยมีโยมยืนประนมมือ แต่ก้มหน้ามาแทบชนพระ ห่างจากหน้าพระประมาณคืบเดียว
(ไม่ต้องใกล้ชิดศาสนาขนาดนั้นก็ได้โยม (ตอนนั้นให้พรเบาๆ เพราะไม่มั่นใจเรื่องกลิ่นปาก))
ถ้าเป็นโยมผู้หญิงก็นั่งให้เรียบร้อย เหมาะสม

สุขภาพกับแสงแดด

ได้รับเมล์จากเพื่อนเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ตระหนักเรื่องสุขภาพมากขึ้น ประเด็นที่สำคัญคือการกินที่ถูกต้อง มีประเด็นอีกเรื่องหนึ่งน่าสนใจเคือการที่ร่างกายได้รับแสงแดดอ่อนยามเช้าหรือ ยามเย็น
จากเรื่องยิ้มสู้โรคมะเร็งก็พูดถึง “ออกกำลังกายแบบแอโรบิก โดยเฉพาะการเดินเร็ว ๆในตอนเช้าหรือเย็นเพื่อให้ได้รับแดดอ่อนๆ”
จากเรื่องหมออินเดียสาระน่ารู้ “วิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด สิ่งที่ควรรู้ก่อน การตากแดด ควรเป็นแสงแดดช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้าและหลัง 4 โมงเย็น”

หันมองตัวเอง มาอยู่นอร์เวย์จะครบ 10ปี ในปีหน้า ห่วงเรื่องสุขภาพตัวเองที่ได้รับแสงแดดน้อยลงเไปอย่างมาก เมื่อเทียบกับสมัยอยู่เมืองไทย อายุก็ยังไม่มากแค่สี่สิบกว่าต้นๆ ทำไม ร่างกายมันอ่อนล้า นอนนิ่งๆ ดูโทรทัศน์สักพัก พอลุกขึ้นก็จะปวดตามร่างกาย ตอนเช้าตื่นนอน เวลาลุก สมัยก่อนใช้หลังสปริงขึ้นมาได้ เดี๋ยวนี้ต้องใช้แขนกับมือช่วยดัน ถ้าใช้หลังมันจะเจ็บและปวด ถึงจะเจ็บปวดไม่มากแต่มันไม่ธรรมดาธรรมชาติเหมือนก่อนแล้ว ไม่แน่ใจว่าอาการอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดาหรือที่เกิดกับผู้หญิงวัยสี่สิบต้นๆ นอกจากนี้เวลาตื่นนอนลุกขี้นจากเตียง เมื่อเดินก็จะปวดขา ปวดเข่า ช่วงล่างจากเอวลงไปไม่ค่อยมีแรง ต้องรอสักพักถึงจะดีขึ้น

ลองอ่านต้นฉบับเรื่อง “หมออินเดียสาระน่ารู้” เห็นว่าไม่ยาวมากจนเกินไป และก็น่าสนใจดี โดยเฉพาะที่คุณหมอจาค็อบ ผสมยาพาราเซ็ตตามอลในข้าวแล้วหนูมากิน ปรากฏว่าหนูตายสงสารหนูจัง

----- เมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเสถียรธรรมสถาน ในวันนั้นแม่ชีศันสนีย์ ได้เชิญคุณหมอ Jacob ซึ่งเป็นหมอประเทศอินเดีย ที่รักษาโรคต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด มาบรรยายให้พวกเราฟัง ซึ่งคุณหมอมีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่อง ทำให้เราอยากมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ฟังบ้าง (อาจจะจำได้ไม่หมดนะค่ะ)
ประวัติ Dr. Jacob Vadakkanchery N.D.
Dr. Jacob เป็นคุณหมอในประเทศอินเดีย เป็นเจ้าของโรงพยาบาล ธรรมชาติบำบัด อยู่ 3 แห่ง ซึ่งคุณหมอ จะเน้นการรักษาให้กับคนยากจน ประมาณ 80% คุณหมอเป็นนักต่อต้าน, นักอนุรักษ์นิยม,
นักพูด (อันดับหนึ่งในรัฐคาน (ถ้าจำชื่อรัฐไม่ผิดนะ)) ฯลฯ คุณหมอใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติบำบัดกับตัวเองมา ประมาณ 30 ปี ปัจจุบันคุณหมอแข็งแรงมาก ผู้แนะนำบอกว่า “คุณหมอสามารถว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไป-กลับ ภายใน 15 นาทีได้”
คุณหมอเล่าให้ฟังว่า คนเราส่วนใหญ่ มักนิยมกินยาพิษในรูปแบบต่างๆ ดังนี้ 1. ยารักษาโรค
(ยาพาราเซตามอล, ยาทิปฟี่ ฯลฯ) , 2. อาหารเสริม และ 3. อาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น McDonald. KFC, Pizza ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักและเป็นบ่อเกิดโรคต่างๆ
คุณหมอบอกว่าร่างการเราเป็นสิ่งที่วิเศษมาก มันสามารถเปล ี่ยนแปลงอาหารที่เรากินเข้าไปให้กลายเป็นสารอาหารต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และมีวิธีการกำจัดของเสียในร่างกาย ออกเป็น 5 ทางคือ 1. ทางลมหายใจ 2. ทางเหงื่อ 3. ทางปัสสาวะ 4. ทางอุจจาระ และ 5. ทางประจำเดือน และร่างกายเรายังมีความวิเศษอีกอย่างคือ หากเรามีของเสียมาก ร่างกายจะกำจัดโดยแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การเป็นหวัด คือ ร่างกายเราจะมีน้ำมูกมาชะล้างเชื้อโรคบริเวณเยื่อบุจมูก แต่คนเราส่วนใหญ่เมื่อมีการอาการเหล่านี้ ก็มักจะกินยา เพื่อรักษาอาการโรคเหล่านี้ ซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ร่างกายเราไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้ ทำให้โรคต่างๆ ยังคงอยู่ในร่างกายเราต่อไป
คุณหมอบอกว่าคนเราส่วนใหญ่ เวลาที่เราปวดหัว เราก็จะกินยาพารา 1 เม็ด แล้วกินน้ำตาม แต่วิธีการของคุณหมอจะแตกต่างจากคนทั่วไป คือคุณหมอจะใช้ยาพารา 2 เม็ด มาบดให้ละเอียดแล้วคลุกกับข้าว แล้วไปตั้งที่ห้องครัว 2-3 วัน เมื่อกลับมาดูอีกครั้ง คุณหมอจะพบหนูตายประมาณ 10-15 ตัว นี่แสดงว่า ยาพาราเซตามอลเป็นยาฆ่าหนูชนิดหนึ่ง และเมื่อเราเป็นไข้ เรากินยาพาราเซตามอล แสดงว่าเราได้กินยาพิษเข้าไปในร่า งกายด้วย
ยาพิษอีกตัวหนึ่งที่คุณหมอกำชับหนักหนากับพวกเราที่นั่งฟังอยู่ก็คือ น้ำตาลทรายขาว ที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน คุณหมอถามพวกเราว่า เคยรู้หรือเปล่าว่าน้ำตาลทรายขาว มาจากไหน ? ทุกคนก็ตอบว่ามาจาก “อ้อย” ซึ่งคุณหมอบอกว่า “ใช่” แต่ก่อนที่มันจะเป็นน้ำตาลทรายขาว ผู้ผลิตได้นำอ้อยที่มีประโยชน์ ไปใช้ในขบวนการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์เรียบร้อยแล้ว นำน้ำตาลส่วนที่เหลือซึ่งมีสีดำและไม่มีประโยชน์ ไปผ่านมาฟอกสี จนกลายเป็นน้ำตาลทรายขาวที่เรากินอยู่ทุกวัน น้ำตาลทรายขาวนี้จะเข้าไปทำร้ายร่างกายเรา ตั้งแต่ลำคอ ผ่านไปกระเพาะ ลำไส้ ดังนั้นคุณหมอจึงอยากให้พวกเราทุกคนเลิกกินน้ำตาลทรายขาว และหันมากินน้ำตาลทรายแดง ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า
คุณหมอ ถามพวกเราอีกว่า เราเคยใช้ยาสีฟัน หรือเปล่า พวกเราก็บอกว่า “เคย” คุณหมอบอกว่ายาสีฟัน ก็เป็นสารซักฟอก เช่นเดียวกับสบู่ที่เราใช้อาบน้ำนั้นแหละ เพรา ะเมื่อเราแปรงฟัน จะมีเศษของยาสีฟันตกลงไปอยู่ในท้องของเรา อาจทำให้เรามีปัญหาอาจเป็นโรคกระเพาะได้ คุณหมอบอกว่าคุณหมอใช้ใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร ในการแปรงฟัน คุณหมอก็ใช้แปรงสีฟันธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มาแล้ว (นั่นก็คือนิ้วชี้ของคุณหมองัย) คุณหมอแปรงฟันด้วยวิธีนี้มานาน 28 ปี แล้ว ฟันของคุณหมอยังขาวและแข็งแรงอยู่เลยนะ
มีผู้ฟังถามคุณหมอว่า “เราควรจะบริโภคนมวัวหรือปล่าว” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกวัวหรือปล่าวล่ะ ที่ต้องกินนมแม่ (แม่วัว) ถ้าไม่ใช่ เราก็ไม่ควรกิน มีนมอยู่อย่างเดียวที่เรากินได้ คือนมของแม่เราเอง ซึ่งเป็นนมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเราจริงๆ นอกนั้นนมอื่นๆ นั้น ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายเราเลย” คนฟังก็ถามต่อว่า “แล้วเราจะกินนมอะไรได้บ้าง หรือปล่าว กินนมแพะ ได้ไหมค่ะ” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกแพะหรือปล่าวล่ะ ถึงจะไปกินนมแพะนะ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ควรกิน แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างนมวัวและนมแพะ นมแพะจะมีคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรามากกว่านมวัวนะ” และมีผู้ฟั งถามเรื่องโยเกิร์ต (เราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้เท่าไร) คุณหมอบอกว่ากินได้บ้าง แต่ไม่ควรจะบ่อยๆ เพราะมันก็ไม่มีประโยชน์และไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้นะค่ะ
การรักษาแบบธรรมชาติบำบัดของคุณหมอ สามารถรักษาโรคได้หลายๆ โรค เช่น โรคผิวหนัง,ภูมิแพ้ต่างๆ, โรคมะเร็งบางชนิด, โรคไมเกรน ฯลฯ มีบางโรคที่รักษาให้หายขาด และมีบางโรคที่ช่วยให้ทุเลาลงได้มาก หากใครสนใจติดต่อ เสถียรธรรมสถาน พี่สมบูรณ์ 08-4115-1114 ได้นะค่ะ เค้าจะมีการจัดอบรมการรักษาแบบธรรมชาติบำบัดในเดือนนี้และเดือนหน้าตามจังหวัดต่างๆ หรือขอคำปรึกษาได้นะค่ะ

วิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด
สิ่งที่ควรรู้ก่อน
1. การตากแดด ควรเป็นแสงแดดช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้าและหลัง 4 โมงเย็น
2. น้ำมะพร้าว คือ น้ำมะพร้าวสดแต่ไม่ต้องทานเนื้อ (ไม่ใช่มะพร้าวเผา) และต้องเป็นมะพร้าวที่ยังมีเปลือกสีเขียว เนื่องจากยังไม่ผ่านมาใช้สารฟอกเปลือกให้เป็นสีขาว
3. กินผลไม้สด (ไม่ควรแช่ตู้เย็น) คือ การกินผลไม้ 2 ชนิด โดยให้มีรสชาติเดียวกัน เช่น รสชาติหวานเหมือนกันทั้ง 2 อย่าง หรือเปรี้ยวทั้ง 2 อย่าง
4. น้ำหยวกกล้วย คือการนำหยวกกล้วยที่ผ่านการมีผลมาแล้ว นำมาสับและปั่นแล้วคั่นน้ำออกมา
5. การออกกำลังกายที่ดี คือ การเดิน, การว่ายน้ำ และการเล่นโยคะ
ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ก่อน 8 โมงเช้า และ 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม และควรออกทุกวัน
การดำรงชีวิตประจำวัน
1. ตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หรือตื่นนอนก่อน 6 โมงเช้า
2. ดื่มน้ำมะพร้าวหรือน้ำผึ้ง
3. ไปนั่งถ่าย และแปรงฟันด้วยมือกับใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร นวดเหงือกและฟัน ประมาณ 10 นาที
4. ชโลมน้ำมันงาหรือผงถั่วเขียว (แทนสบู่) ที่ศีรษะ, หน้าและร่างกาย หลังจากนั้น ให้นวดศีรษะ, นวดหน้า (เป็นการนวดเป็นนวดขึ้น เพื่อทำให้หน้าตาเต่งตึง), นวดร่างกาย เช่น นวดท้อง และนวดหัวใจ พร้อมทั้งพูดกคุยกับอวัยวะของตัวเอง ประมาณ 15-20 นาที แล้วนวดฝ่าเท้าประมาณ 15-20 นาที รอให้น้ำมันซึมเข้าผิวประมาณ 15-20 นาทีแล้วค่อยล้างออก
5. กินอาหารเช้าประมาณ 8 โมง ควรเป็นผักหรือผลไม้
6. เวลาเที่ยง 12.00 น. ให้ทานอาหารมื้อหลัก
7. เวลา 6 โมงเย็น ให้หยุดกิจกรรมให้น้อยลง
8. อาหารเย็นควรเป็นผักและผลไม้ หรือน้ำผลไม้หรือน้ำมะพร้าว
9. ให้นอนประมาณ 4 ทุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้เราหลับง่ายที่สุด หากเลยเวลานี้ ร่างกายเราจะดึงพลังงาน แล้วทำให้เรานอนหลับยากขึ้น
การรับประทานอาหารที่ดี คือ
ให้ทานผลไม้ 2 มื้อ คือมื้อเช้าและมื้อเย็น
ทานอาหารหลัก 1 มื้อ คือ มื้อเที่ยง
วิธีการรักษาโรคแบบต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด
โรคปวดท้องประจำเดือน
วิธีรักษา วันแรกให้กินน้ำมะพร้าวและผลไม้ กินไปประมาณ 3-4 วัน ประมาณ 3 เดือน จะหายปวดท้องและดีต่อการคลอด
โรคปวดหัว
วิธีรักษา ให้เอาน้ำเปล่าราดหัว ประมาณ 5 นาที
โรคสิว
วิธีรักษา ไม่ให้กินขนมปังเบเกอรี่, กินของทอด, กินพวกน้ำมัน, กินอาหารเผ็ด, กินแป้งขัดสี, กินน้ำตาลทรายขาว ควรกินแต่ผัก, ผลไม้ และน้ำมะพร้าว
โรคปวดเมื่อย
วิธีรักษา ให้เอาผ้าเปียกมาคลุมบริเวณที่ปวดเมื่อย ประมาณ 1 ชม. (ไม่ให้เกินนี้)
ผู้มีสุขภาพเรื้อรัง
วิธีรักษา 1. ให้กินน้ำหยวกกล้วยตอน 6.00 โมงเช้าประมาณ 1 เดือน หรือให้กินหยวกกล้วยสดก็ได้
2. ให้ตากแดดวันละ 1 ชม. ทั้ง เช้า 0.30 ชม.และเย็น 0.30 ชม.
โรคผิวหน ัง
วิธีรักษา ใส่เสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าฝ้ายและไปตากแดด วันละ 2 ชม. เช้าและเย็น
โรคหัวใจ
วิธีรักษา ให้กินเจ และกินผลไม้ตอนเย็น ประมาณ 3 เดือน และไปตากแดดเช้า 1 ชม. และเย็น 1 ชม. กินน้ำเปล่า, น้ำมะพร้าว, น้ำผึ้ง หรือน้ำผลไม้ต่างๆ
โรคไมเกรน
วิธีรักษา ใช้น้ำราดศีรษะวันละ 5 ครั้ง ๆ ละ 5 นาที และกินผลไม้ทั้งวัน 3 มื้อ ประมาณ 1-2 วัน
คนสายตาสั้นหรือยาว
วิธีรักษา ให้บริหารสายตาด้วยการกรอกลูกตา
1. จากบนลงล่าง
2. จากขวาไปซ้าย
3. บนขวาไปเฉียงล่างซ้าย
4. บนซ้ายไปเฉียงล่างขวา
5. บน ซ้าย ล่าง ขวา
6. บน ขวา ล่าง ซ้าย
แล้วใช้น้ำมะพร้าวหยดตา รวมทั้งให้มองพระอาทิตย์ตอน 7 โมง และตอน 6 โมงเย็น และไม่ให้กินอาหารเย็น และให้กินผลไม้, ผัก และน้ำมะพร้าว ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการจะดีขึ้น
โรคเหน็บชา
วิธีรักษา ไปนั่งตากแดด เช้าเย็น และกินเจ
โรคเบาหวาน
วิธีรักษา กินผักสด 1-2 เดือน และหลังจากนั้น หากอยากกินน้ำผลไม้ก็ได้
ความดันโลหิตสูง
วิธีรักษา เอาน้ำราดศีรษะ 5 ครั้งและกินผลไม้
โรคสะเก็ดเงิน
วิธีรักษา กินผลไม้ 2-3 เดือนและตากแดด
โรคคลอเรสเตอรอส
วิธีรักษา กินผักและผลไม้
โรคกระเพาะ
วิธีรักษา กินผักและผลไม้
โรคหวัด
วิธีรักษา กินแต่ผลไม้
ท้องเสีย
วิธีรักษา กินน้ำผลไม้และน้ำมะพร้าว และพักผ่อนเยอะๆ
โรคนอนไม่หลับ
วิธีรักษา ก่อนนอนให้ราดหัว ประมาณ 10 นาที
การเตรียมตัวตั้งครรภ์และการคลอดให้ราบรื่น
1. ให้กินผลไม้ 2 มื้อและอาหารเจ 1 มื้อ
2. การตากแดด (เช้า-เย็น)
3. รักษาจิตใจ ให้มีความสุข
จะช่วยให้เด็กแข็งแรง และไม่ปวดท้องตอนคลอด
(คุณหมอให้คนไข้ของคุณหมอในประเทศอินเดียทำอย่างนี้นะค่ะ)
การล้างสารพิษในผักและผลไม้
ใช้น้ำผสมเกลือเล็กน้อย แช่ผักและผลไม้ทิ้งไว้ ประมาณ 1 ชม.