Sunday, December 13, 2009

บ้านพักตากอากาศชะอำ

หัวข้อนี้เคยเขียนไว้แล้วเมื่อเดือนธันวาคม ปี2549 นำมาปัดฝุ่นเขียนใหม่แบบว่าอยากเล่าสู่กันฟัง คือเมื่อช่วงเดือนกันยายนปีนี้ นั่งทำโปรเจ็กชะอำ เข้าไปอ่านหลายเว็บมากเกี่ยวกับชะอำ เจออยู่หลายเว็บที่เขียนเกี่ยวกับชะอำ และมีเว็บใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีเว็บที่น่าสนใจเว็บหนึ่ง ซึ่งได้ติดต่อขอเข้าร่วมประชาสัมพันธ์คอนโดของบ้านเราไว้ เว็บนี้เป็นเว็บของชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่ชะอำไม่มีโฆษณาหารายได้ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับชะอำเป็นภาษาอังกฤษ สำนวนการเขียนอ่านง่าย มีลักษณะกึ่งเป็นกันเอง คือไม่เขียนลักษณะเป็นทางการจนเกินไป รูปร่างหน้าตาออกมาแบบนี้ http://www.onlychaam.com/cha-am-hotels.php#ruenrom

Baan Ruen Rom is a condominium, not a hotel. It is located a few kilometers north of Cha-Am, close to Alila. Built in 2006, this 23 storey building offers many convenient facilities (room service, 24 hr security, swimming pool, fitness center, sauna...). Below you can see an example of an apartment for rent. With a living area of 65 sqm, 2 bedrooms and 2 bathrooms, it can accommodate a family of 4 for a short or long term stay. It is fully equipped, with satellite TV, Wifi, DVD, fridge, microwave etc.

Saturday, December 05, 2009

Birthday Message to His Majesty King Bhumibol Adulyadej

Embassy of the United States of America
Bangkok
December 4, 2009

Birthday Message to His Majesty King Bhumibol Adulyadej from U.S. Secretary of State Hillary Rodham Clinton

To watch the video of Secretary Clinton’s message, go to
http://www.youtube.com/watch?v=vbAUF4humZg

On behalf of President Obama and the American people, I extend our very best wishes to his Majesty on the occasion of his 82nd birthday.

Your Majesty, as the only U.S. born monarch in the world, you have played such an important role in shaping and strengthening the close friendship between the United States and Thailand. And we look forward to continuing our relationship with you, the Royal Family, the Thai people and the Thai nation in the years to come.

Your good works have been felt well beyond Thailand’s borders. In particular your efforts to advance sustainable small scale agriculture in rural areas of Thailand are models for green development around the world. We are inspired, Your Majesty, by your energy, your enthusiasm, and your many accomplishments. As a gifted jazz musician, avid horticulturalist, best selling author and award winning sailor, you motivate all of us to live life to the fullest. And your compassion and humanity have made you a valued friend not only to your people and to the people of the United States, but to people the world over.

We wish you and your family good health and good cheer. And we hope you have a wonderful birthday.

วันนี้วันพ่อ

วันนี้ วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันพ่อ ได้โทรไปคุยกับพ่อ พ่อก็สบายดี พี่ชายคนโตกับครอบครัวของเขาพาพ่อกับแม่ไปกินข้าวนอกบ้าน เห็นพ่อบอกว่าร้านอาหารชื่อ "ครัวบ้านขุนแผน" พ่อบอกร้านไม่ใหญ่อาหารอร่อยไม่แพง ถามเรื่องแผลที่ผ่าตัดเล็กถุงน้ำดีเมื่อเดือนกันยายนที่โรงพยาบาลตำรวจ ก็หายสนิทดีแล้ว แผลผ่าตัดที่ไม่ได้เย็บ ก็ใช้เวลามากหน่อยกว่าแผลจะแห้งสนิท

ปีนี้พ่อของพวกเราก็ 81ปี แล้ว พ่ออายุยืน คิดว่าส่วนหนื่งเนื่องจาก พ่อเป็นคนชอบกินผัก สมุนไพรต่างๆ แล้วพ่อก็เป็นคนมีอารมณ์ขันตลอด อีกอย่างคิดว่าน่าจะเป็นเพราะว่าพ่อยังมีคู่กัด คือแม่ของพวกเราเอง ไม่รู้เขียนแบบนี้จะเป็นการไม่สุภาพหรือเปล่า เอาผู้บังเกิดเกล้ามาขายออกอากาศอย่างนี้ แต่คิดว่าน่าจะโอเค คู่นี้อยู่กันมาจนลูกคนโต 50ปีแล้ว คงไม่แปลกที่จะบอกเล่าเคล็ดลับอายุยืนยาวของคนกับชีวิตคู่

เมื่อกี้บอกว่าพ่อเป็นคนอารมณ์ขันง่ายๆ ยกตัวอย่าง คือ ที่คุยกันเรื่องร้านอาหารครัวบ้านขุนแผน พ่ออดไม่ได้ที่จะต้องบอกว่า "สาวเสริฟสวย" "ที่ร้านอาหารได้ฟังเพลงเพราะด้วยแต่จากวิทยุนะ" เป็นเรื่องปรกติมากเวลาพ่อคุยกับชาวบ้าน หรือ เพื่อนบ้าน พ่อก็จะพูดติดตลกตลอด พวกเราพี่น้องก็ได้ความสามารถในการพูดติดตลกขำขันจากพ่อมาบ้าง มากน้อยขึ้นอยู่กับบุคลิกของแต่ละคน คิดว่าพี่ชายคนที่3 น่าจะขี้เล่นทีสุด พูดเล่นแกมหยอกตลอด ว่าไปแล้วก็ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งเนอะยุ้ยเนอะ ยุ้ยนี่ไม่ใช่ใครพี่สะใภ้ดิฉันเอง

กลับมาคุยเรื่องพ่อต่อ มีเขียนประวัติย่อของพ่อซึ่งเป็นตาของโซเฟียในบล็อก thainorsk เขียนเป็นภาษานอร์เวย์ไว้เมื่อ 3ปีที่แล้ว

http://thainorsk.blogspot.com/2006/12/min-pappa.html

ลองมานั่งแปลเป็นภาษาไทยก็ดีเหมือนกัน ทดแทนที่ไม่ได้ไปกินข้าวนอกบ้านกับพ่อ แต่ต้องนั้่งติดแง็กหนาวอยู่ที่นอร์เวย์

Min pappa heter Chum Kantha. Han ble født i Bangkok, Thiland i 1928. Han hadde utdanning når han var munk. Han fikk 4. trinn vitnemål som kunne være lærer på skolen i den tiden. Han er snill. Når unger bad ham penger for å kjøpe godter , vi altid fikk penger. Motsatt, vi nesten aldri fikk penger for å kjøpe godter fra mamma. Han er flink om byggning. Han har ingen utdanning om det, men han kan mange ting. I min syn han er tømmermann, arkitekt og ingenør. Han er så gammel nå, men han er ganske sterk. Jeg håper at han vil være med oss lenge. Jeg er bekymret det. Nå bor jeg lang lang bort. Det plager meg å tenke på hva skal jeg gjøre! Hvis det skjedde

พ่อของฉันชื่อชุ่ม กันทา เขาเกิดที่กรุงเทพ เมืองไทย ปี 2471 เขาได้รับการศึกษาเมื่อตอนเป็นพระ เขาได้ใบประกาศนียบัตร ป.4 ซึ่งวุฒิสามารถใช้เป็นครูในโรงเรียนได้ในสมัยนั้น เขาเป็นคนใจดี เมื่อลูกๆ ขอสตางค์เพื่อซื้อขนม พวกเราก็ได้สตางค์เสมอ ตรงกันข้าม พวกเราแทบจะไม่ได้สตางค์จากแม่เพื่อซื้อขนมเลย เขาเก็งเกี่ยวกับการปลูกสร้าง เขาไม่ได้เรียนมา แต่เขาก็ทำได้หลายอย่าง ในสายตาของฉัน เขาเป็นช่างไม้ สถาปนิก และวิศวกร เขาแก่มากแล้วตอนนี้ แต่เขาค่อนข้างแข็งแรง ฉันหวังว่าเขาจะอยู่กับพวกเราอีกนาน ฉันกังวลใจ ตอนนี้ฉันก็อยู่ที่ไกลแสนไกล มันกวนใจฉันที่คิดถึงว่าฉันจะทำยังไง หากมันเกิดขึ้น

Sunday, November 29, 2009

"เดี๋ยวนี้อาจันทร์ธรรมะธรรมโมมากขึ้น"

วันนี้วันอาทิตย์เป็นวันหยุด คนส่วนใหญ่ไม่ต้องไปทำงาน ไม่ต้องไปเรียนหนังสือ สมัยก่อนคนไทยเราพอถึงวันอาทิตย์ก็ไปวัดไปวา สมัยนี้คงไปเดินห้างสรรพสินค้า แต่บางคนคงอยากออมแรงพักผ่อนเต็มที่อยู่กับบ้านเพื่อเติมพลังงานสำหรับไปเรียนหนังสือหรือไปทำงานวันจันทร์ วันนี้ถ้าอยู่บ้านนั่งหน้าคอมฯ ก็อ่านธรรมะจากพระผู้ใหญ่ "หลวงพ่อปัญญา" จะได้มีสติในการดำเนินชีวิตต่อไป ธรรมะนี้ได้รับจากพี่คนไทยในนอร์เวย์ ไม่รู้ใครส่งให้พี่เค้า แต่พวกเราอ่านแล้วได้ประโยชน์ได้คิดและมีจิตใจที่ดีขึ้นมีพลังงานมากขึ้นในการดำเนินชีวิตก็ถือว่าได้บุญกันทั่วหน้า ทั้งคนอ่าน คนส่ง ที่สำคัญคนปฏิบัติตาม เป็นไงพลอยยังที่เราคุยกันและพลอยก็บอกว่า "เดี๋ยวนี้อาจันทร์ธรรมะธรรมโมมากขึ้น" ใจอาจันทร์เย็นลงและนิ่งขึ้นเพราะเหตุการณ์ที่พ่อเธอจากไปรวดเร็วกว่าที่ควร

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~
คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด
เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง
เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน

เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา

Saturday, November 21, 2009

เรารักในหลวง

ใกล้วันพ่อเข้ามาทุกทึ ไม่มีคำบรรยายใดๆ นอกจากพวกเราอยากบอกว่า เรารักพ่อ เรารักในหลวง มีเพลงที่ชาวต่างชาติแต่งให้ในหลวง นางเคลลี นิวตั้น ชาวออสเตรเลีย เธอผู้นี้ได้แต่งเพลงเพื่อสิ่งแวดล้อมและมนุษยชาติมากว่า 20ปีแล้ว เรามาร้องเพลงนี้กันเพื่อแสดงความจงรักภักดีให้กับในหลวงของเรา

http://www.youtube.com/watch?v=p8lptBS2Ptg

Ever since I saw the face of this man
หลังจากที่ฉันได้เห็นหน้าผู้ชายคนนั้น

The king of Thailand, The king of Siam
กษัตริย์ของประเทศไทย กษัตริย์ของประเทศสยาม

I felt in love with his soul loves this land
ฉันก็หลงรักในความรักที่ท่านมีให้แก่แผ่นดินของท่าน

It's in his eye, it's in his heart, it's in his hand
มันเห็นได้จากสายตาของท่าน จากหัวใจของท่าน และจากมือของท่าน

He is the husband, the father and the king
ท่านเป็นสามี เป็นพ่อ และเป็นกษัตริย์

A great photographer , musician so many things
เป็นช่างภาพผู้ยิ่งใหญ่ เป็นนักดนตรี และอีกหลายๆอย่าง

The way he lives his life is something to behold
การดำเนินชีวิตของท่านมันเป็นสิ่งที่น่าถนุถนอมไว้

His grace, his wisdom , an example to the world
สติปัญญาและความสามารถของท่านเป็นตัวอย่างที่ดีแก่โลกนี้

Long live the king of Thailand
Long live the king of Siam

And in the time when the rain came flooding down
และเมื่อถึงเวลาที่ฝนตกน้ำท่วม

He saved the city with a building of the dam
ท่านก็ช่วยเหลือจังหวัดนั้นไว้ด้วยการสร้างเขื่อน

In time of conflicts, he has always been there
เวลาเกิดความขัดแย้งกัน ท่านก็อยู่ตรงนั้นเสมอ

To stop the fighting just like the father who really cares
เพื่อช่วยหยุดการต่อสู้เหมือนกับพ่อที่ห่วงใยสนใจลูก

Long live the king of Thailand
Long live the king of Siam

I'm watching wonder at the things he understands
ฉันเฝ้ามองท่านและพิสวงสงสัยในหลายๆอย่างที่ท่านทำ

His love for his people, his love for this land
ความรักของท่านต่อประชาชนของท่าน และต่อแผ่นดินของท่าน

His working a great culture, he is one of a kind
ท่านสร้างวัฒนธรรมประเพณีที่สวยงาม ท่านเป็นหนึ่งในล้านจริงๆ
His vision for the future way ahead of their time
ท่านมองเห็นการณ์ไกลมาก

Long live the king of Thailand
Long live the king of Siam

Monday, November 09, 2009

ศัพท์ในโลกดิจิตอล

อยากบอกว่าตั้งแต่ย้ายมาอยู่นอร์เวย์แล้วมีอาการติดคอมฯ อาการยิ่งหนักขึ้นเมื่อเวลาล่วงผ่านไป คิดว่าถ้าไม่ได้ใช้คอมฯ อาจลงแดงได้ วันนี้ได้รับเมล์จากเพื่อนรักเหมียวสมัยเรียนที่ทับแก้ว อ่านตอนแรกคิดว่าจริงจัง อ่านๆไป อ้าวไม่ใช่นี่หว่า ล้อเลียนชัดๆ ขำดีเหมือนกัน เอ๊ะ หรือว่าจริงก็ไม่รู้ ลองอ่านกันดูช่วยอาจันทร์ดูซิว่าจริงหรือเล่น

ศัพท์ในโลกดิจิตอล
Spyware - สืบภัณฑ์
Thaiware - ไทยภัณฑ์
Software - ละมุนภัณฑ์
Hardware - กระด้างภัณฑ์
Adware - โฆษณาภัณฑ์
Malware - ประสงค์ร้ายภัณฑ์ (หรือประทุษร้ายภัณฑ์)
Shareware - แบ่งภัณฑ์
Freeware - ให้เปล่าภัณฑ์
key bord - กระดานลูกกุญแจ
mouse - หนู , ชวด
optical mouse - หนูจักษุ ชวดจักษุ
main bord - กระดานหลัก
compact disc - จานกระทัดรัด
hard disk - แผ่นกลมแข็ง
windows explorer = ผู้สำรวจหน้าต่างหลายบาน (มันเป็นใครกันฟะ)
power point - จุดพลัง (พลังนิ้วมหัศจรรย์)
microsoft - ธุลีละมุน (อะไรกันเนี่ย)
Error Message Abort, retry, ignore - เลิกเสีย ลองดูใหม่ ไม่แยแส
Bad command or file name - ถึงทีคุณผิดมั่งแล้ว
Blue screen of death - จ้องมองฟ้า คร่ำครวญไปใย หามีใครฟัง
Diskette full - แฟ้มใหญ่เกิน เชิญไปไดเอ็ต ดิสค์เก็ตต์ไม่พอ (อ้วนนักหรือ?)
File not found - แฟ้มที่หา สำคัญนัก มักสูญหาย
Installing ... please wait - กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จได้วันเดียว ไปกินก๋วยเตี๋ยวก่อนก็ยังทัน
Lost data - อภิทุกขังทั้งสาม ภาษีตามย้อนหลัง มรณัง ข้อมูลหาย ให้ทายสิว่าคราวนี้เจออะไร
Network error - งานเลี้ยงต้องเลิกรา ถึงคราอยู่ลำพัง
Out of memory error - อยากจะจดจำ ทุกดวงดาวบนฟากฟ้า แต่มิอาจสามารถ
Page (URL) not found - ตรวจสอบให้ถ้วนถี่ หน้าที่อยากได้หนักหนา คีย์อีกคราก็หาบ่ได้
Paper jam - กระดาษรีบนัก ไม่รู้จักเข้าคิว จับมาติวได้ไหมเอ่ย
Program error - โปรแกรมเออเรอร์ ขอเธอกดปุ่มปิด อย่าคิดถามว่าทำไม
Search not found - หลังการค้นหา สิ่งที่ปรากฎ คือการสูญหาย
Starting MS-DOS Mode - คืนสู่สามัญ
Toner Low - เต๋าที่เห็น ไม่เป็นเต๋าที่แท้ เว้นแต่แกเปลี่ยนโทนเนอร์
Username or password error - อาจเป็นชื่อ หรือรหัส ที่ผิดไป ไม่อยากบอก
Windows error - เมื่อวานทำ วันนี้ไม่ใช่แน่วินโดวส์
(ลืมเซฟไฟล์) ไฟล์เมื่อกี๊ สำคัญไหม ถ้าหากใช่ ให้คีย์ใหม่เพื่อยืนยัน
(เครื่องแฮงค์) สงบนิ่ง สยบทุกสิ่ง ที่เคลื่อนไหว
world wide web - โครงข่ายโยงใยพิภพ
joy stick - แท่งหรรษา
computer = คณิตกรณ์

Wednesday, October 28, 2009

แฟนฉัน

วันนี้ร้องเพลง "กว่าจะรัก" ต้องหัดร้องใหม่ จำเนื้อเพลงไม่ค่อยได้ เมื่อก่อนสมัยเป็นเด็กจำเนื้อเพลงได้เยอะมาก เคยได้ยินวงชาตรีไหมลูกหลานทั้งหลาย วงนี้ดังมากนะสมัยก่อน อาจันทร์ยังเป็นเด็กอยู่เลย อาจันทร์ร้องได้ทุกเพลง จำเนื้อเพลงได้ทุกเพลง คิดดูลุงเป็ดยังพึ่งเป็นวัยรุ่น (ปีนี้ ๕๐ แล้วอะ) ไม่แน่ใจว่ากี่ปีมาแล้ว แต่ค้นในเน็ตเห็นมี ชาตรี 33 ปี The Memory Concert ลองมาร้องกันดีไหม เพลงนี้ขอมอบให้ พ.ต.ท. ชาติชาย พี่ชายคนโตของครอบครัวเราในฐานะที่เป็นวัยรุ่นในสมัยนั้นแต่อวุโสมากแล้วตอนนี้ เข้าไปลิงค์นี้นะ

http://www.you2play.com/player/media_type,song/id,1233/

เนื้อเพลง
จิตใจตรงกัน ผูกพันรักใหม่ สุขใจเหลือเกิน รักเพลินสดใส
มอบรักให้เธอ ใจฉันเหม่อลอย หากเธอยังคอย ฉันพลอยอุ่นใจ

หกนาฬิกา แอบมาพบเธอ เจอะกันทุกที โสภีงามแท้
ไม่แพ้เทวี จันทร์ศรีผ่องเพ็ญ เธอคงมองเห็น ฉันเป็นยอดชาย

ภูมิใจฉันได้เธอมา จะถนอมกล่อมเธอ
ยามมอง ช่างซึ้งเลิศเลอ ยามเธอ โปรยยิ้มให้มา แก้มเธอแดงหนักหนา

เจ็ดนาฬิกา รีบมาเล่าเรียน ใจยังหมุนเวียน ถึงเรียนสับสน
ชอบคิดกังวล ไม่พ้นเรื่องเธอ นี่ไงเพื่อนเกลอ รูปเธอแฟนฉัน

ภูมิใจฉันได้เธอมา จะถนอมกล่อมเธอ
ยามมอง ช่างซึ้งเลิศเลอ ยามเธอ โปรยยิ้มให้มา แก้มเธอแดงหนักหนา

เจ็ดนาฬิกา รีบมาเล่าเรียน ใจยังหมุนเวียน ถึงเรียนสับสน
ชอบคิดกังวล ไม่พ้นเรื่องเธอ นี่ไงเพื่อนเกลอ รูปเธอแฟนฉัน

นี่ไงเพื่อนเกลอ รูปเธอแฟนฉัน

Tuesday, October 27, 2009

กว่าจะรัก

ลูกหลานอาจันทร์ทั้งหลายมาฟังเพลงนี้กันหน่อย เพื่อนรุ่นพี่สมัยเรียนมัธยมส่งมาให้อาจันทร์ เมื่อเดือนที่แล้ว นั่งฟังคนเดียว น้ำตาไหลเลย เป็นเพลงสมัยอาจันทร์วัยรุ่นอายุไล่เรี่ยพวกเธอทั้งหลายในตอนนี้ แนวเพลงสมัยนี้เปลี่ยนไปเยอะ หลากหลายมากขึ้น แต่คิดว่าเพลงนี้ก็ยังคงน่าฟังอยู่สำหรับพวกเธอ ลองเข้าไปฟังดูตามลิงค์ แล้วคุยกันวันเสาร์วินโดว์สไลฟ์นะ

http://www.youtube.com/watch?v=uH7wpWg9VOM

แต่ก่อนนั้น ฉันยังแปลกใจ ที่เห็นใครร่ำลาจากกัน ด้วยการร้องไห้
แต่บัดนี้ เมื่อเราต้องไป ก็ถึงวันที่ฉันเข้าใจว่าเพราะอะไร

เมื่อเราต้องไป พบเพื่อนใหม่ ซึ่งอาจไม่มีใครเข้าใจ เราเหมือนเพื่อนคนเดิม

กว่าจะรัก เท่าวันนี้ กว่าจะมีคนมาเข้าใจต้องใช้เวลา ใช่เพียงมองตากันเมื่อไร
อยากจะคิด ต้องจากกัน เป็นแค่ฝันแต่ความจริงนั้น เรายังอยู่เคียงข้างกัน ดั่งวันวาน

ก่อนจากกัน ฉันมาบอกลา ด้วยน้ำตาที่มันเอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจ
อยากบอกเธอ บอกเธอด้วยใจ ว่ารักเราจะมีให้กันอย่างนี้เรื่อยไป

แล้วเราจะมาพบกันใหม่ จะกลับมาร่วมทุกข์สุขกัน ให้เหมือนเมื่อวาน

กว่าจะรัก เท่าวันนี้ กว่าจะมีคนมาเข้าใจต้องใช้เวลา ใช่เพียงมองตากันเมื่อไร
อยากจะคิด ต้องจากกัน เป็นแค่ฝันแต่ความจริงนั้น เรายังอยู่เคียงข้างกัน ดั่งวันวาน

กว่าจะรัก เท่าวันนี้ กว่าจะมีคนมาเข้าใจต้องใช้เวลา ใช่เพียงมองตากันเมื่อไร
อยากจะคิด ต้องจากกัน เป็นแค่ฝันแต่ความจริงนั้น เรายังอยู่เคียงข้างกัน ดั่งวันวาน

กว่าจะรัก เท่าวันนี้ กว่าจะมีคนมาเข้าใจต้องใช้เวลา ใช่เพียงมองตากันเมื่อไร
อยากจะคิด ต้องจากกัน เป็นแค่ฝันแต่ความจริงนั้น เรายังอยู่เคียงข้างกัน ดั่งวันวาน

กว่าจะรัก เท่าวันนี้ กว่าจะมีคนมาเข้าใจต้องใช้เวลา ใช่เพียงมองตากันเมื่อไร
อยากจะคิด ต้องจากกัน เป็นแค่ฝันแต่ความจริงนั้น เรายังอยู่เคียงข้างกัน ดั่งวันวาน

ระวังน้ำขวดที่ตลาดนัดจตุจักร

ได้รับเมล์ฉบับนี้จากเพื่อนรุ่นพี่โรเงรียนมัธยม เมื่อเดือนกรกฎาคมปีนี้ เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านทั้งครอบครัวกันทาเอง และผู้มาเยี่ยมเยี่ยนบล็อกนี้ ห่วงสุขภาพและความปลอดภัยในการบริโภคกันบ้างก็ดีนะ

ระวังน้ำขวดที่ตลาดนัดจตุจักร...ร้านที่อยู่บริเวณหอนาฬิกา

เรื่องมีอยู่ว่าวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้ไปตลาดนัดจตุจักร

เดินไปซักพักก็เริ่มหิวน้ำสมมติฐานแรกคือร่างกายสูญเสียนำเพราะอากาศร้อน

ก็เลยมองหาน้ำดื่มเดินไปถึงร้านขายน้ำ(ร้านเล็กๆอยู่บริเวณ
35 องศาเหนือของหอนาฬิกา)

กำลังรอคิวที่จะซื้อน้ำ แต่แล้วผมก็สังเกตเห็นที่บริเวณฝาขวดนำดื่ม

ตรงที่ผนึกขวด มันมีรอยขรุขระ เหมือนโดนความร้อนเชื่อมกัน

ผมคิดว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ ก็เลยไปเดินเก็บข้อมูลอยู่หลายร้าน

ลองสังเกตขวดน้ำเปล่าที่ไม่มีพลาสติกปิดฝาขวดแล้ว

แม่งเหมือนกันเลย
สมมติฐานอันแรกและเดียวก็คือเขาคงเอาขวดเก่ามากรอกน้ำแล้วเอาฝาปิด

แล้วก็เอาไฟลนให้ฝาติด เหมือนยังไม่ได้เปิด
ไม่เชื่อก็ลองสังเกตเวลาคุณซื้อน้ำเปล่าที่สวนจตุจักรสิ

พวกคนขายจะเปิดขวดพร้อมเอาหลอดเสียบให้คุณเสร็จ

ผมทำการสำรวจ(ฝาขวด) และวิเคราะห์พฤติกรรม(เจ้าของร้าน)

อยู่หลายร้านจนมั่นใจว่าสมมติฐานคงไม่คลาดเคลื่อน

ผมจึงสรุปได้ว่า ร้านขายน้ำบางร้านนำขวดเก่ามาเติมน้ำแล้วน้ำมาขาย

ผมนั่งคิดว่าจะทำอย่างไรกับร้านขายนำพวกนี้ดี

(ระหว่างนี้ก็พยายามทำตัวให้ปกติเพื่อไม่เป็นการแหวกหญ้าให้คนขายน้ำตื่น)อาศัยความกระหายของ
มนุษย์เป็นเครื่องมือทำมาหากิน
นับเป็นการกระทำที่อภัยให้ไม่ได้
ถ้าเป็นเมื่อก่อน(ที่ผมจะหิวน้ำ)เรื่องนี้คงจะผ่านไปเหม ือนลมจากไดเป่าผมผ่าน
ติ่ งหูแต่ว่า!!

ไม่ใช่คราวนี้ ความกระหายน้ำทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม
ผมไม่รอช้ารีบลุกขึ้นและเดินกลับไปที่ร้านขายน้ำร้านนั้น
ร้านที่ทำลายความเชื่อใจผู้บริโภคอย่างผมเดินไปเดินไป
ผมยืนอยู่หน้าร้านขายน้ำจอมหลอกลวงสายตาผมจดจ้องไปที่ขวดน้ำเปล่าเล็งไป

ที่ฝาขวด( ชัดเลยขวดเก่าเห็นแล้วฉุนมาก) '

ในที่สุดผมก็เลยเขียนอีเมล์ฉบับนี้เพื่อเตือนคนชอบกระหายน้ำที่ไปเดินตลาดนัดจตุจักร

ให้ระวังน้ำขวดรีไซเคิลให้ดีเพราะไม่รู้ว่า

น้ำที่เขาเอามาเติมเป็นน้ำสะอาดหรือเปล่า

และขวดที่นำมาก็ ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน

อีเมล์ฉบับนี้เป็นทางออก
โดยหวังว่าผู้ที่ได้รับจะส่งเตือนต่อไปเรื่อยๆและอาจมีซักคนที่คิดจะอะไรซักอย่าง

เพื่อเรียกร้องสิทธิผู้บริโภคช่วยส่งไปให้คนเหล่านั้นที

และขอยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง …. ไม่เชื่อเสาร์อาทิตย์นี้ไปเดินดูสิ

Wednesday, September 30, 2009

โซเฟียเล่นกระโดดกับเพื่อนๆ

ปีนี้หน้าร้อนที่นอร์เวย์ ดิฉันซื้อ ที่เล่นกระโดดให้โซเฟีย เมื่อก่อนอยู่เมืองใหญ่ "บูด้า" ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับที่เล่นกระโดด ตอนนี้ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ในเมืองเล็กๆ "รองนั่น" มีสวนกับพื้้นที่มากพอจีงได้ซื้อที่เล่นกระโดดให้โซเฟีย สังเกตุได้ว่า บ้านเรือนที่รองนั่น ถ้าบ้านไหนมีเด็กเล็กอยู่ด้วย ก็จะมีที่เล่นกระโดดกันทุกบ้าน ตอนแรกก็กะว่าจะไม่ลงทุน เก็บเงินไว้ใช้ในเรื่องจำเป็นอย่างอื่น โซเฟียไปยืมเล่นกับเพื่อนข้างบ้านก็ได้ แต่ลูกอยากได้ แม่ก็ซื้อทันทีหละจ้า.... มาดูโซเฟียกระโดดนะพี่พลอย พี่สวย พี่เม่น พี่มะเหมียว พี่ปลา ปังปอนด์ น้องงาม และก็น้องหม่อน...

Friday, September 25, 2009

ตากับยาย

เคยได้รับเมล์จากเพื่อนเรื่องตากะยาย เอามาลงบล็อกนี้ เมื่อ 12 กุมภาพันธ์ เรื่องนั้นกินใจ และได้ขำ ส่วนเรื่องตากับยายนี้ก็เป็นเมล์จากเพื่อนอีกนั่นแหละ เรื่องนี้ได้ขำอีก และก็สอนเน้นเรื่องชีวิตคู่ที่ต้อง "แบ่งกัน" หักมุมประโยคสุดท้ายตอนจบ ว่าแบ่งกันจริงๆ...ลองอ่านดู

เรื่องราวน่ารัก ของตากับยายค่ะ

คืนที่ฟ้าฉ่ำฝน
> ... ตายายคู่หนึ่งจูงมือ ค่อย ๆ พากันเดินเข้าร้าน McDonalds
> แลดูแปลกตาท่ามกลางเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาว
> สายตาหลายคู่จ้องมองมาอย่างชื่นชมในความรักที่ยืนยาวมากว่าครึ่งศตวรรษของสองตายาย
>
> ตาเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์สั่งอาหารชุด และชำระเงินอย่างคุ้นเคย
> ก่อนพายายไปเลือกหาที่นั่งริมในสุดของร้าน
> ตายายช่วยกันนำอาหารออกจากถาด ตาค่อย ๆ แบ่งแฮมเบอร์เกอร์ออกเป็น 2 ส่วน
> เอาเฟรนช์ไฟร์ออกมานับครึ่ง และจัดวางไว้ดูน่ารับประทานข้างหน้ายาย
> คว้าแก้วโค้กมาจิบหนึ่งอีก ส่งให้ยายรับไปจิบหนึ่งอึกก่อนจะวางไว้ตรงกลางเบื้องหน้าทั้งคู่
> ขณะที่ตาเริ่มกินแฮมเบอร์เกอร์ส่วนของตนอยู่
> บรรดาลูกค้าในร้านที่จับตาดูคู่ตายายมาตั้งแต่ต้นเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย
> หลายคนสะกิดกันพลางกระซิบ ......
> 'น่าสงสารจังแกคงมีเงินพอซื้อได้แค่ชุดเดียวมาแบ่งกันมั้ง'
> ชายหนุ่มโต๊ะข้าง ๆ ถึงกับเดินเข้ามาหาพร้อมเสนอตัวขอเป็นเจ้ามือซื้อให้อีกชุดอย่างสุภาพ
> ตายิ้มรับความมีน้ำใจ แต่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า
>
> 'ไม่เป็นไรหรอกมีอะไรเราก็ต้องเอามาแบ่งกันอยู่แล้ว'
> เวลาผ่านไป ทุกคนเริ่มสังเกตว่า
> ยายได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองตากินแฮมเบอร์เกอร์อย่างเอร็ดอร่อย ไม่ยอมแตะต้องส่วนของตน
> นอกจากหยิบโค้กขึ้นมาจิบ ชายหนุ่มคนเดิมตัดสินใจเข้ามาหาอีกครั้ง
> เอ่ยขอร้องให้เขาได้เลี้ยงคู่ตายายที่น่ารักนี้เถอะ
> คราวนี้ยายเป็นฝ่ายปฏิเสธอย่างอ่อนหวาน
> ยืนยันเหมือนเดิมว่ามีอะไรก็ต้องเอามาแบ่งกัน
> เมื่อตารับประทานเสร็จ ขณะหยิบกระดาษมาเช็ดปาก
> ยายก็ยังคงนั่งนิ่งดูสามีสุดที่รักอยู่อย่างนั้นราวกับกลัวว่าเขาจะไม่อิ่มจริงๆ
>
> ชายหนุ่มคนเดิมก็อดรนทนไม่ได้อีก
>
> เอ่ยปากอย่างจริงจังขอตายายอนุญาตให้เขาเลี้ยงสักครั้ง
> แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างสุภาพอีก ...
>
> ชายหนุ่มนึกสงสัย
> 'ทำไมคุณยายไม่รับประทานบ้างเลยครับ ก็ไหนบอกว่ามีอะไรก็ต้องเอามาแบ่งกันไง
> คุณตาก็ทานเสร็จแล้ว ยังรออะไรอยู่หรือครับ? '
> คุณยายตอบเนิบ ๆ ??
> 'รอฟันปลอมจากตาน่ะหลานชาย...'

Friday, September 04, 2009

ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร

ได้รับฟอร์เวิล์ดจากเพื่อน อ่านแล้วก็ขำดี แบ่งกันขำก็แล้วกัน จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่แค่อ่านแล้วขำ แต่ได้รับรู้เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี ลองอ่านดูจากต้นฉบับ

ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร

1. นิมนต์พระ
หลังจากที่เราเตรียมสำรับกับข้าวเรียบร้อยแล้ว เราก็ยืนรอพระที่จะเดินบิณฑบาตผ่านมา
การยืนรอพระในขั้นตอนนี้ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า เส้นทางนี้มีพระเดินผ่านหรือไม่
ไม่ใช่ว่าไปรอบนทางสายเปลี่ยวที่ไม่มีพระเดินผ่าน คงไม่ได้ใส่กันพอดี
รอซักพัก พอมีพระเดินมาก็นิมนต์ท่าน

การนิมนต์ ก็ควรใช้คำว่า "นิมนต์ครับ/ค่ะท่าน" แค่นี้พระท่านก็ทราบแล้ว
ตอนเป็นพระเคยเดินบิณฑบาตที่ตลาดเขมร โยมนิมนต์ด้วยถ้อยคำอันรื่นหูว่า
"ท่านเจ้าประคุณเจ้าคะ นิมนต์เจ้าค่ะ" (ใช้คำไฮโซมาก) +

มีอีกทีนึงโยมใช้คำว่า "นิมนต์เจ้าค่ะ พระอาจารย์" (เอ่อ โยม อาตมาเพิ่งบวชอาทิตย์เดียว)
การนิมนต์พระควรนิมนต์ด้วยความสำรวมและใช้เสียงดังพอประมาณ
โยมบางคนเรียกพระด้วยเสียงอันดัง "นิ โมนน!!" (แง้ ทำไมต้องตะคอกด้วย - -")

การนิมนต์ควรสังเกตอายุของพระด้วย
ถ้าอายุน้อยกว่าเราหรือว่าเยอะกว่าไม่มากก็เรียกว่าหลวงพี่ ถ้ามีอายุหน่อยก็เรียกหลวงน้า ถ้าแก่พรรษา
มากก็เรียกหลวงตา หรือนอกจากนี้ก็อาจจะเรียกหลวงอา หลวงลุง หลวงปู่ฯลฯ แล้วแต่จะลำดับญาติ
อย่างฉันปีนี้อายุ ๒๓ ปี หน้าตาค่อนข้างเด็ก แต่เคยมีโยมใช้คำว่า "นิมนต์ค่ะ หลวงลุง" ทำเอาเสีย
self จนอยากสึกออกไปทำ baby face

โยมบางคนคงเขินอายพระ เนื่องจากไม่ค่อยได้ใส่บาตรเท่าไร
เวลาพระเดินมาก็ยื่นมือออกมาทำท่า กวักๆ ทำเหมือนพระเป็นรถเมล์

หลังจากนิมนต์พระ ก็เข้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือ

2. จบ
อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจบแล้วนะ
การจบ หมายถึง การเอามาทูนไว้ที่หัวแล้วอธิษฐาน
การจบ ควรใช้เวลาอธิษฐานแต่พองาม ไม่ต้องอธิษฐานนานจนเกินไป
เคยมีโยมนิมนต์ไปรับบาตร ไอเราก็เดินไปเปิดฝาบาตรรอรับ โยมก็จบอยู่ ขอบอกว่านานมากกกกกกก
นานจนรู้สึกได้ นานจนอดคิดไม่ได้ว่า "โยมขออะไรเราน้า?"

3. ถอดรองเท้า ยืนด้วยเท้าเปล่า
จริงๆแล้ว จุดประสงค์ของการถอดรองเท้าคือเป็นการให้ความเคารพพระสงฆ์โดยการไม่ยืนสูงกว่าท่าน
เพราะเวลาพระสงฆ์บิณฑบาตจะเดินเท้าเปล่า แต่มีญาติโยมบางคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับการถอดรองเท้าซึ่ง
มีหลายประเภทเหมือนกัน เช่น
บางคนถอดรองเท้าอย่างเรียบร้อยแต่ยืนบนรองเท้า - -" (สูงกว่าเดิมอีก)
บางคนถอดรองเท้าและยืนบนพื้นจริง แต่ว่าตัวเองยืนบนฟุตบาท พระยืนบนพื้นถนนซะงั้น (หนักกว่าเก่า)
เคยมีเรื่องเล่าว่า มีโยมคนนึงยืนใส่บาตรพระ พระเห็นว่าโยมใส่รองเท้าเลยแนะนำโยมไปว่า

พระ : "โยม อาตมาว่าโยมควรถอดรองเท้าใส่บาตรนะ"
โยมมีสีหน้าตกกะใจ ตอบพระไปว่า
โยม : เอ่อ จะดีเหรอคะ
พระ : ไม่เป็นไรหรอกโยม
โยมก็จัดแจงถอดรองเท้า ยกขึ้นมาพร้อมกับถามพระว่า
โยม : จะให้ใส่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างเลยคะ
อิบ้า!! ท่านหมายถึงถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าเอามาใส่ในบาตร
อันนี้เป็นเรื่องที่หลวงน้าท่านนึงเล่าให้ฟังระหว่างฉันเพล (เรื่องขำขันขณะฉันเพล)

พอถอดรองเท้าเสร็จก็เข้าสู่ขั้นตอนที่สี่

4. ใส่บาตร
อันนี้ถือเป็นจุดไคลแมกซ์ของการใส่บาตร
สิ่งสำคัญที่ทุกคนมองข้ามก็คือควรดูว่าของที่นำมาใส่บาตรนั้น เสียรึเปล่า
บางคนมีเจตนาอยากทำบุญดี แต่ดันไปซื้อของเสียมาใส่บาตร
พระฉันไป เข้าห้องน้ำไป
พวกร้านค้าก็จริงๆ บางครั้งเอาของค้างคืนมาขายเอากำไร ไม่สนใจพระเจ้า เห็นแก่ตัว หากินกับพระ
ก็ฝากด้วยนะครับ เด๋วทำบุญจะได้บาปเปล่าๆ
นอกจากนี้ ของที่นำมาใส่ ถ้าเพิ่งปรุงสุกเสร็จ ควรดูด้วยว่ามันร้อนมากรึเปล่า
เคยมีโยมใส่แกง ร้อนมากๆๆ บาตรเกือบหล่น ทั้งนี้เพราะบาตรทำจากโลหะ นำความร้อนได้ดี
ปริมาณไม่ควรมากจนเกินไป เคยมีโยมใส่บาตรด้วย "กล้วย ๓ หวี"
กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ อาตมาไม่ว่า แต่นี่ใส่ "กล้วยหอม" (อันนี้เกิดกับตัวเองจริงๆ)
คิดดู "กล้วยหอม ๓ หวี" อยู่ในบาตร หนักมากกกก จนอยากบอกโยมว่า "โยม อาตมาไม่ใช่ช้าง"
การใส่ก็ควรวางในบาตรด้วยอาการสำรวม
โยมผู้หญิงบางคนกลัวโดนพระจัด พอถุงกับข้าวถึงแค่ปากบาตร ก็ปล่อยลงมา ตุ๊บ!!
นึกว่าเซอร์ไอแซค นิวตัน กลับชาติมาทดลองเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก (วางดีๆก็ได้ 55)

ขั้นตอนต่อไปคือ

5. รับพร
หลังจากใส่บาตรเสร็จ พระสงฆ์ส่วนมากก็จะให้พร
เราเป็นญาติโยม ก็ประนมมือรับพรกันตามระเบียบ โดยอาจยืนหรือนั่งยองๆ ก็ได้ ก้มหัวแต่พองาม
เคยมีโยมยืนประนมมือ แต่ก้มหน้ามาแทบชนพระ ห่างจากหน้าพระประมาณคืบเดียว
(ไม่ต้องใกล้ชิดศาสนาขนาดนั้นก็ได้โยม (ตอนนั้นให้พรเบาๆ เพราะไม่มั่นใจเรื่องกลิ่นปาก))
ถ้าเป็นโยมผู้หญิงก็นั่งให้เรียบร้อย เหมาะสม

สุขภาพกับแสงแดด

ได้รับเมล์จากเพื่อนเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ตระหนักเรื่องสุขภาพมากขึ้น ประเด็นที่สำคัญคือการกินที่ถูกต้อง มีประเด็นอีกเรื่องหนึ่งน่าสนใจเคือการที่ร่างกายได้รับแสงแดดอ่อนยามเช้าหรือ ยามเย็น
จากเรื่องยิ้มสู้โรคมะเร็งก็พูดถึง “ออกกำลังกายแบบแอโรบิก โดยเฉพาะการเดินเร็ว ๆในตอนเช้าหรือเย็นเพื่อให้ได้รับแดดอ่อนๆ”
จากเรื่องหมออินเดียสาระน่ารู้ “วิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด สิ่งที่ควรรู้ก่อน การตากแดด ควรเป็นแสงแดดช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้าและหลัง 4 โมงเย็น”

หันมองตัวเอง มาอยู่นอร์เวย์จะครบ 10ปี ในปีหน้า ห่วงเรื่องสุขภาพตัวเองที่ได้รับแสงแดดน้อยลงเไปอย่างมาก เมื่อเทียบกับสมัยอยู่เมืองไทย อายุก็ยังไม่มากแค่สี่สิบกว่าต้นๆ ทำไม ร่างกายมันอ่อนล้า นอนนิ่งๆ ดูโทรทัศน์สักพัก พอลุกขึ้นก็จะปวดตามร่างกาย ตอนเช้าตื่นนอน เวลาลุก สมัยก่อนใช้หลังสปริงขึ้นมาได้ เดี๋ยวนี้ต้องใช้แขนกับมือช่วยดัน ถ้าใช้หลังมันจะเจ็บและปวด ถึงจะเจ็บปวดไม่มากแต่มันไม่ธรรมดาธรรมชาติเหมือนก่อนแล้ว ไม่แน่ใจว่าอาการอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดาหรือที่เกิดกับผู้หญิงวัยสี่สิบต้นๆ นอกจากนี้เวลาตื่นนอนลุกขี้นจากเตียง เมื่อเดินก็จะปวดขา ปวดเข่า ช่วงล่างจากเอวลงไปไม่ค่อยมีแรง ต้องรอสักพักถึงจะดีขึ้น

ลองอ่านต้นฉบับเรื่อง “หมออินเดียสาระน่ารู้” เห็นว่าไม่ยาวมากจนเกินไป และก็น่าสนใจดี โดยเฉพาะที่คุณหมอจาค็อบ ผสมยาพาราเซ็ตตามอลในข้าวแล้วหนูมากิน ปรากฏว่าหนูตายสงสารหนูจัง

----- เมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเสถียรธรรมสถาน ในวันนั้นแม่ชีศันสนีย์ ได้เชิญคุณหมอ Jacob ซึ่งเป็นหมอประเทศอินเดีย ที่รักษาโรคต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด มาบรรยายให้พวกเราฟัง ซึ่งคุณหมอมีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่อง ทำให้เราอยากมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ฟังบ้าง (อาจจะจำได้ไม่หมดนะค่ะ)
ประวัติ Dr. Jacob Vadakkanchery N.D.
Dr. Jacob เป็นคุณหมอในประเทศอินเดีย เป็นเจ้าของโรงพยาบาล ธรรมชาติบำบัด อยู่ 3 แห่ง ซึ่งคุณหมอ จะเน้นการรักษาให้กับคนยากจน ประมาณ 80% คุณหมอเป็นนักต่อต้าน, นักอนุรักษ์นิยม,
นักพูด (อันดับหนึ่งในรัฐคาน (ถ้าจำชื่อรัฐไม่ผิดนะ)) ฯลฯ คุณหมอใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติบำบัดกับตัวเองมา ประมาณ 30 ปี ปัจจุบันคุณหมอแข็งแรงมาก ผู้แนะนำบอกว่า “คุณหมอสามารถว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไป-กลับ ภายใน 15 นาทีได้”
คุณหมอเล่าให้ฟังว่า คนเราส่วนใหญ่ มักนิยมกินยาพิษในรูปแบบต่างๆ ดังนี้ 1. ยารักษาโรค
(ยาพาราเซตามอล, ยาทิปฟี่ ฯลฯ) , 2. อาหารเสริม และ 3. อาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น McDonald. KFC, Pizza ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักและเป็นบ่อเกิดโรคต่างๆ
คุณหมอบอกว่าร่างการเราเป็นสิ่งที่วิเศษมาก มันสามารถเปล ี่ยนแปลงอาหารที่เรากินเข้าไปให้กลายเป็นสารอาหารต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และมีวิธีการกำจัดของเสียในร่างกาย ออกเป็น 5 ทางคือ 1. ทางลมหายใจ 2. ทางเหงื่อ 3. ทางปัสสาวะ 4. ทางอุจจาระ และ 5. ทางประจำเดือน และร่างกายเรายังมีความวิเศษอีกอย่างคือ หากเรามีของเสียมาก ร่างกายจะกำจัดโดยแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การเป็นหวัด คือ ร่างกายเราจะมีน้ำมูกมาชะล้างเชื้อโรคบริเวณเยื่อบุจมูก แต่คนเราส่วนใหญ่เมื่อมีการอาการเหล่านี้ ก็มักจะกินยา เพื่อรักษาอาการโรคเหล่านี้ ซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ร่างกายเราไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้ ทำให้โรคต่างๆ ยังคงอยู่ในร่างกายเราต่อไป
คุณหมอบอกว่าคนเราส่วนใหญ่ เวลาที่เราปวดหัว เราก็จะกินยาพารา 1 เม็ด แล้วกินน้ำตาม แต่วิธีการของคุณหมอจะแตกต่างจากคนทั่วไป คือคุณหมอจะใช้ยาพารา 2 เม็ด มาบดให้ละเอียดแล้วคลุกกับข้าว แล้วไปตั้งที่ห้องครัว 2-3 วัน เมื่อกลับมาดูอีกครั้ง คุณหมอจะพบหนูตายประมาณ 10-15 ตัว นี่แสดงว่า ยาพาราเซตามอลเป็นยาฆ่าหนูชนิดหนึ่ง และเมื่อเราเป็นไข้ เรากินยาพาราเซตามอล แสดงว่าเราได้กินยาพิษเข้าไปในร่า งกายด้วย
ยาพิษอีกตัวหนึ่งที่คุณหมอกำชับหนักหนากับพวกเราที่นั่งฟังอยู่ก็คือ น้ำตาลทรายขาว ที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน คุณหมอถามพวกเราว่า เคยรู้หรือเปล่าว่าน้ำตาลทรายขาว มาจากไหน ? ทุกคนก็ตอบว่ามาจาก “อ้อย” ซึ่งคุณหมอบอกว่า “ใช่” แต่ก่อนที่มันจะเป็นน้ำตาลทรายขาว ผู้ผลิตได้นำอ้อยที่มีประโยชน์ ไปใช้ในขบวนการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์เรียบร้อยแล้ว นำน้ำตาลส่วนที่เหลือซึ่งมีสีดำและไม่มีประโยชน์ ไปผ่านมาฟอกสี จนกลายเป็นน้ำตาลทรายขาวที่เรากินอยู่ทุกวัน น้ำตาลทรายขาวนี้จะเข้าไปทำร้ายร่างกายเรา ตั้งแต่ลำคอ ผ่านไปกระเพาะ ลำไส้ ดังนั้นคุณหมอจึงอยากให้พวกเราทุกคนเลิกกินน้ำตาลทรายขาว และหันมากินน้ำตาลทรายแดง ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า
คุณหมอ ถามพวกเราอีกว่า เราเคยใช้ยาสีฟัน หรือเปล่า พวกเราก็บอกว่า “เคย” คุณหมอบอกว่ายาสีฟัน ก็เป็นสารซักฟอก เช่นเดียวกับสบู่ที่เราใช้อาบน้ำนั้นแหละ เพรา ะเมื่อเราแปรงฟัน จะมีเศษของยาสีฟันตกลงไปอยู่ในท้องของเรา อาจทำให้เรามีปัญหาอาจเป็นโรคกระเพาะได้ คุณหมอบอกว่าคุณหมอใช้ใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร ในการแปรงฟัน คุณหมอก็ใช้แปรงสีฟันธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มาแล้ว (นั่นก็คือนิ้วชี้ของคุณหมองัย) คุณหมอแปรงฟันด้วยวิธีนี้มานาน 28 ปี แล้ว ฟันของคุณหมอยังขาวและแข็งแรงอยู่เลยนะ
มีผู้ฟังถามคุณหมอว่า “เราควรจะบริโภคนมวัวหรือปล่าว” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกวัวหรือปล่าวล่ะ ที่ต้องกินนมแม่ (แม่วัว) ถ้าไม่ใช่ เราก็ไม่ควรกิน มีนมอยู่อย่างเดียวที่เรากินได้ คือนมของแม่เราเอง ซึ่งเป็นนมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเราจริงๆ นอกนั้นนมอื่นๆ นั้น ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายเราเลย” คนฟังก็ถามต่อว่า “แล้วเราจะกินนมอะไรได้บ้าง หรือปล่าว กินนมแพะ ได้ไหมค่ะ” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกแพะหรือปล่าวล่ะ ถึงจะไปกินนมแพะนะ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ควรกิน แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างนมวัวและนมแพะ นมแพะจะมีคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรามากกว่านมวัวนะ” และมีผู้ฟั งถามเรื่องโยเกิร์ต (เราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้เท่าไร) คุณหมอบอกว่ากินได้บ้าง แต่ไม่ควรจะบ่อยๆ เพราะมันก็ไม่มีประโยชน์และไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้นะค่ะ
การรักษาแบบธรรมชาติบำบัดของคุณหมอ สามารถรักษาโรคได้หลายๆ โรค เช่น โรคผิวหนัง,ภูมิแพ้ต่างๆ, โรคมะเร็งบางชนิด, โรคไมเกรน ฯลฯ มีบางโรคที่รักษาให้หายขาด และมีบางโรคที่ช่วยให้ทุเลาลงได้มาก หากใครสนใจติดต่อ เสถียรธรรมสถาน พี่สมบูรณ์ 08-4115-1114 ได้นะค่ะ เค้าจะมีการจัดอบรมการรักษาแบบธรรมชาติบำบัดในเดือนนี้และเดือนหน้าตามจังหวัดต่างๆ หรือขอคำปรึกษาได้นะค่ะ

วิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด
สิ่งที่ควรรู้ก่อน
1. การตากแดด ควรเป็นแสงแดดช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้าและหลัง 4 โมงเย็น
2. น้ำมะพร้าว คือ น้ำมะพร้าวสดแต่ไม่ต้องทานเนื้อ (ไม่ใช่มะพร้าวเผา) และต้องเป็นมะพร้าวที่ยังมีเปลือกสีเขียว เนื่องจากยังไม่ผ่านมาใช้สารฟอกเปลือกให้เป็นสีขาว
3. กินผลไม้สด (ไม่ควรแช่ตู้เย็น) คือ การกินผลไม้ 2 ชนิด โดยให้มีรสชาติเดียวกัน เช่น รสชาติหวานเหมือนกันทั้ง 2 อย่าง หรือเปรี้ยวทั้ง 2 อย่าง
4. น้ำหยวกกล้วย คือการนำหยวกกล้วยที่ผ่านการมีผลมาแล้ว นำมาสับและปั่นแล้วคั่นน้ำออกมา
5. การออกกำลังกายที่ดี คือ การเดิน, การว่ายน้ำ และการเล่นโยคะ
ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ก่อน 8 โมงเช้า และ 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม และควรออกทุกวัน
การดำรงชีวิตประจำวัน
1. ตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หรือตื่นนอนก่อน 6 โมงเช้า
2. ดื่มน้ำมะพร้าวหรือน้ำผึ้ง
3. ไปนั่งถ่าย และแปรงฟันด้วยมือกับใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร นวดเหงือกและฟัน ประมาณ 10 นาที
4. ชโลมน้ำมันงาหรือผงถั่วเขียว (แทนสบู่) ที่ศีรษะ, หน้าและร่างกาย หลังจากนั้น ให้นวดศีรษะ, นวดหน้า (เป็นการนวดเป็นนวดขึ้น เพื่อทำให้หน้าตาเต่งตึง), นวดร่างกาย เช่น นวดท้อง และนวดหัวใจ พร้อมทั้งพูดกคุยกับอวัยวะของตัวเอง ประมาณ 15-20 นาที แล้วนวดฝ่าเท้าประมาณ 15-20 นาที รอให้น้ำมันซึมเข้าผิวประมาณ 15-20 นาทีแล้วค่อยล้างออก
5. กินอาหารเช้าประมาณ 8 โมง ควรเป็นผักหรือผลไม้
6. เวลาเที่ยง 12.00 น. ให้ทานอาหารมื้อหลัก
7. เวลา 6 โมงเย็น ให้หยุดกิจกรรมให้น้อยลง
8. อาหารเย็นควรเป็นผักและผลไม้ หรือน้ำผลไม้หรือน้ำมะพร้าว
9. ให้นอนประมาณ 4 ทุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้เราหลับง่ายที่สุด หากเลยเวลานี้ ร่างกายเราจะดึงพลังงาน แล้วทำให้เรานอนหลับยากขึ้น
การรับประทานอาหารที่ดี คือ
ให้ทานผลไม้ 2 มื้อ คือมื้อเช้าและมื้อเย็น
ทานอาหารหลัก 1 มื้อ คือ มื้อเที่ยง
วิธีการรักษาโรคแบบต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด
โรคปวดท้องประจำเดือน
วิธีรักษา วันแรกให้กินน้ำมะพร้าวและผลไม้ กินไปประมาณ 3-4 วัน ประมาณ 3 เดือน จะหายปวดท้องและดีต่อการคลอด
โรคปวดหัว
วิธีรักษา ให้เอาน้ำเปล่าราดหัว ประมาณ 5 นาที
โรคสิว
วิธีรักษา ไม่ให้กินขนมปังเบเกอรี่, กินของทอด, กินพวกน้ำมัน, กินอาหารเผ็ด, กินแป้งขัดสี, กินน้ำตาลทรายขาว ควรกินแต่ผัก, ผลไม้ และน้ำมะพร้าว
โรคปวดเมื่อย
วิธีรักษา ให้เอาผ้าเปียกมาคลุมบริเวณที่ปวดเมื่อย ประมาณ 1 ชม. (ไม่ให้เกินนี้)
ผู้มีสุขภาพเรื้อรัง
วิธีรักษา 1. ให้กินน้ำหยวกกล้วยตอน 6.00 โมงเช้าประมาณ 1 เดือน หรือให้กินหยวกกล้วยสดก็ได้
2. ให้ตากแดดวันละ 1 ชม. ทั้ง เช้า 0.30 ชม.และเย็น 0.30 ชม.
โรคผิวหน ัง
วิธีรักษา ใส่เสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าฝ้ายและไปตากแดด วันละ 2 ชม. เช้าและเย็น
โรคหัวใจ
วิธีรักษา ให้กินเจ และกินผลไม้ตอนเย็น ประมาณ 3 เดือน และไปตากแดดเช้า 1 ชม. และเย็น 1 ชม. กินน้ำเปล่า, น้ำมะพร้าว, น้ำผึ้ง หรือน้ำผลไม้ต่างๆ
โรคไมเกรน
วิธีรักษา ใช้น้ำราดศีรษะวันละ 5 ครั้ง ๆ ละ 5 นาที และกินผลไม้ทั้งวัน 3 มื้อ ประมาณ 1-2 วัน
คนสายตาสั้นหรือยาว
วิธีรักษา ให้บริหารสายตาด้วยการกรอกลูกตา
1. จากบนลงล่าง
2. จากขวาไปซ้าย
3. บนขวาไปเฉียงล่างซ้าย
4. บนซ้ายไปเฉียงล่างขวา
5. บน ซ้าย ล่าง ขวา
6. บน ขวา ล่าง ซ้าย
แล้วใช้น้ำมะพร้าวหยดตา รวมทั้งให้มองพระอาทิตย์ตอน 7 โมง และตอน 6 โมงเย็น และไม่ให้กินอาหารเย็น และให้กินผลไม้, ผัก และน้ำมะพร้าว ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการจะดีขึ้น
โรคเหน็บชา
วิธีรักษา ไปนั่งตากแดด เช้าเย็น และกินเจ
โรคเบาหวาน
วิธีรักษา กินผักสด 1-2 เดือน และหลังจากนั้น หากอยากกินน้ำผลไม้ก็ได้
ความดันโลหิตสูง
วิธีรักษา เอาน้ำราดศีรษะ 5 ครั้งและกินผลไม้
โรคสะเก็ดเงิน
วิธีรักษา กินผลไม้ 2-3 เดือนและตากแดด
โรคคลอเรสเตอรอส
วิธีรักษา กินผักและผลไม้
โรคกระเพาะ
วิธีรักษา กินผักและผลไม้
โรคหวัด
วิธีรักษา กินแต่ผลไม้
ท้องเสีย
วิธีรักษา กินน้ำผลไม้และน้ำมะพร้าว และพักผ่อนเยอะๆ
โรคนอนไม่หลับ
วิธีรักษา ก่อนนอนให้ราดหัว ประมาณ 10 นาที
การเตรียมตัวตั้งครรภ์และการคลอดให้ราบรื่น
1. ให้กินผลไม้ 2 มื้อและอาหารเจ 1 มื้อ
2. การตากแดด (เช้า-เย็น)
3. รักษาจิตใจ ให้มีความสุข
จะช่วยให้เด็กแข็งแรง และไม่ปวดท้องตอนคลอด
(คุณหมอให้คนไข้ของคุณหมอในประเทศอินเดียทำอย่างนี้นะค่ะ)
การล้างสารพิษในผักและผลไม้
ใช้น้ำผสมเกลือเล็กน้อย แช่ผักและผลไม้ทิ้งไว้ ประมาณ 1 ชม.

Saturday, August 15, 2009

ยิ้มสู้...โรคมะเร็ง

เมื่อสามสี่วันก่อนได้รับฟอร์เวิล์ด เรื่อง "นายแพทย์อารีย์ วชิรมโน กับประสบการณ์รักษาโรคมะเร็งได้ด้วยตัวเอง" เป็น pdf file มี 22 หน้า อ่านรวดเดียวจบ เป็นรูปแบบการให้สัมภาษณ์ จริงๆ แล้วก็เป็นความรู้ทั่วไปที่ใครๆก็ควรรู้บ้างมาก่อน เช่น ต่อมที่ผลิตฮอร์โมนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไขมันไม่ดี กินโปรตีนตับจะทำงานหนัก น้ำตาลกระตุ้นผลิตอินซูลิน โรคไหลตายอาจจะเกิดจากกินแป้งมากเกินไปหรือกินอาหารหนักก่อนนอน เลือดมีค่าเป็นกรดเป็นด่าง หลักการหายใจที่ดี วิตามินซีมีประโยชน์ กินผักผลไม้มีผลดีต่อร่างกาย ออกกำลังกายได้รับแสงแดดอ่อนๆ ไส้ติ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย การเดินเท้าเปล่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย การทำดีท๊อกซ์ ฯลฯ

แต่ในบทให้สัมภาษณ์ จะเพิ่มข้อมูลในรายละเอียดมากขึ้นเชิงสถิติเอาตัวเลขมาประกอบ เช่น โกรทฮอร์โมนประกอบด้วยกรดอะมิโน 191 ชนิด คนปรกติต้องการโปรตีนไม่เกิน 75 กรัมต่อวัน ปอดมีความจุสองข้างประมาณ 3 ลิตรครึ่ง ถึง 4 ลิตร วิตามินซีต้องได้อย่างน้อย 20 กรัมต่อวัน ในร่างกายคนเรามีเซลอยู่ประมาณ 75000 เซล ฮอร์โมนที่เป็ตความสุขระงับความเจ็บปวดได้ดีกว่ามอร์ฟีน 250 เท่า ตับมีหน้าที่หลัก 260 อย่าง ฯลฯ ตัวเลขเหล่านี้จริงตามหลักวิชาการหรือไม่ ดิฉันก็ไม่รู้ แต่ทำให้ข้อมูลของผู้ให้สัมภาษณ์ดูน่าเชื่อถือ หรือพยายามแสดงให้เห็นว่าผู้ให้สัมภาษณ์มึความรู้ แต่ที่พูดถึงศาสตราจาย์ลีชุนฮุน อายุ 256 ปี เพราะกินมังสวิรัติ ไม่น่าเป็นไปได้ คนอะไรอยู่นานขนาดนั้น

จุดที่ทำให้อ่านแล้วรู้สึกเชิงลบกับผู้ให้สัมภาษณ์ คือการเสนอตัวเองว่าแข็งแรง โดยการท้าทาย ขับรถรวดเดียว 1600 กิโลเมตร ค่อนข้างเหลือเชื่อสำหรับคนวัยขนาดนี้แล้ว ลองอ่านดู
"คุณหมอออกมารักษามะเร็งแบบนี้ ถูกโจมตีจากแพทย์แผนปัจจุบันบ้างหรือไม่
เป็นเรื่องธรรมดาครับ มีหมอหลายคนโจมตี ผมบอกว่าเอาอย่างนี้ อยากจะดูคุณภาพของร่างกาย คุณขับรถไปกับผมคนละคันไหม ผมอายุ ๗๕ ปี ยังสามารถขับรถจากนครพนม ไปปากพนังระยะทาง ๑,๖๐๐ กิโลเมตรรวดเดียว หยุดพักแค่เติมน้ำมัน หรือหยุดทำดีทอกซ์แค่นั้น ๒๐ กว่าชั่วโมงไม่พัก คุณทำได้มั้ย หรือคุณสามารถยืนบรรยายหน้าห้องติดต่อกัน ได้ถึง ๑๘ ชั่วโมงมั้ย"

พออ่านจบได้ข้อคิดที่ดีว่าถ้าทำได้ตามแนวทางปฏิบติ ดิฉ้ันก็สามารถลดน้ำหนักได้ แต่โดยส่วนตัวดิฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ยืนนานจนเกินไป อายุยืนนานถึง 100 ปี 200 ปี น่ากลัวสำหรับดิฉัน มันทรมานนะมีชิวิตอยู่แบบอายุมาก สงสารคนรอบข้างด้วยที่ต้องดูแล เพราะฉะนั้นให้กินแต่ข้าวกล้องกับใบบัวบกแล้วอายุยืนนานก็ไม่เอา แนวทางปฏิบัติที่ว่า ลองอ่านดู

"โดยสรุปแล้วหลักการรักษามะเร็งหรือทำให้สุขภาพของคนเราดีขึ้นมี ๗ อย่างด้วยกัน ผมเรียกว่า ๗ อ. คือ
๑. อาหาร กินอาหารให้ถูกต้อง
๒. อากาศ พยายามสูดอากาศที่บริสุทธิ์และฝึกการทำความสะอาดปอด
๓. อารมณ์ ไม่เครียด แจ่มใสเสมอ
๔. ออกกำลังกายแบบแอโรบิก โดยเฉพาะการเดินเร็ว ๆในตอนเช้าหรือเย็นเพื่อให้ได้รับแดดอ่อนๆ
๕. อุจจาระหรือการทำดีท็อกซ์ขับสารพิษออกจากร่างกาย
๖. เอนกายหรือพักผ่อนให้เพียงพอ และ
๗. คือ อิทธิบาท คอเราต้องมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา"

เมื่อ 3 ปีที่แล้ว พี่ชายจากไปด้วยโรคมะเร็งตับ ตอนนั้นเหมือนคนโง่ จะคิดจะทำอะไรไม่ถูก คิดแต่ว่าพี่ชายต้องหายจากโรคภัยไข้เจ็บ อายุดิฉันก็ 40 ปีแล้วนะตอนนั้น แต่มันเหมือนรับไม่ได้ว่าพี่ชายอายุเพียง 45 ปี ต้องจากไป และนี่เป็นสาเหตุที่อ่านบทสัมภาษณ์ดั่งกล่าวรวดเดียวจบ เพราะอยากมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น

เมื่อวานอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับ "นายแพทย์อารีย์ วชิรมโน" มากขึ้น ค้นข้อมูลเพิ่มเติมจากเน็ตปรากฏว่าป็นพวก 18 มงกุฏ เศร้าจริงๆ คนเรา แต่เรื่องนี้ยังไม่สรุปผลต้องรอเวลาพิสูจน์ หรือสรุปไปแล้ว ไม่แน่ใจ หาข้อมูลในเน็ตไม่เจอบทสรุป

Tuesday, June 30, 2009

โซเฟียว่ายน้ำได้แล้ว

ปีที่แล้ว 2551 โซเฟียไปเมืองไทย 2 เดือน และอยู่ที่คอนโด 3 สัปดาห์ ได้ฝึกว่ายน้ำ เกือบว่ายน้ำได้ คือเริ่มลอยตัวได้แล้ว แต่ก็ต้องกลับบ้านที่นอร์เวย์ ปีนี้ 2552 โซเฟียอยู่ฝึกว่ายน้ำที่คอนโด 2 สัปดาห์ และโซเฟียก็ว่ายน้ำได้ อัพโหลดวีดีโอเพื่อเป็นหลักฐานให้พี่พลอยดู จริงๆ แล้วพี่พลอยเห็นว่าโซเฟียว่ายน้ำได้แล้วที่สระว่ายน้ำของรีสอร์ทที่ปาย

Friday, April 03, 2009

ปังปอนด์ กับ พี่สวย

เมื่อ 29 มีนาคม ได้ข่าวว่า ปังปอนด์ สอบติดสวนกุหลาบ และสวยสอบติดพิษณุโลกพิทยาคม อาจันทร์ก็ดีใจมาก นึกๆ ก็แปลกตอนอาเล็กน้องชายสอบติดสวนกุหลาบ ไม่เห็นอาจันทร์ดีใจเท่ากับปังปอนด์สอบติดสวนกุหลาบ คงเป็นเพราะความรู้สึกของวัยเด็ก กับวัยผู้ใหญ่ การมองโลกที่แตกต่างกันของอาจันทร์ (คนคนเดียวกัน แต่เวลาต่างกัน คนคนนั้นก็ไม่เหมือนกัน คนคนนั้นก็ไม่เหมือนเดิม) ส่วนสวยสอบติดพิษณุโลกพิทยาคม อาจันทร์ก็ดีใจมาก ถ้าให้บอกตรงๆ อาจันทร์ดีใจมากที่สุด สำหรับเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นกับสวย ลูกสาวเล็กอาจันทร์ ทั้งสองโรงเรียนเป็นโรงเรียนเก่าแก่และมีชื่อเสียงของเมืองไทย ลองมาอ่านประวัติของโรงเรียนทั้งสอง

1. ประวัติโรงเรียนสวนกุหลาบยาวสักหน่อย เรียกได้ว่าประวัติศาสคร์ อ่านได้จากลิงค์ของโรงเรียน
http://www.sk.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=19&Itemid=259

ย้อนหลังไปประมาณเกือบ 200 ปี ก่อนนั้นเมื่อแรกสร้างพระบรมมหาราชวัง ในสมัยรัชกาลที่ 1 บริเวณวังข้างด้านใต้หมด เพียงป้อมอนันตคิรีถนนมหาชัย กำแพงพระราชวังหักตรงไปทางตะวันตกจนถึงป้อมสัตบรรพต ในระหว่าง กำแพงพระบรมมหาราชวังกับวัดพระเชตุพน มีบ้านเสนาบดีและวังเจ้าคั่นอยู่หลายบริเวณ

ครั้นเมื่อถึงรัชกาลที่ 2 จึงมีการขยายเขตพระราชวังออกไป ในพระราชวังด้านใต้มีที่ว่าง โปรดฯให้ทำสวนปลูกต้นกุหลาบสำหรับเก็บดอกใช้ในราชการ จึงเกิดมีสวนกุหลาบขึ้นในพระราชวังตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 เป็นต้นมาและในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดฯให้แบ่งสวนกุหลาบส่วนหนึ่งสร้างคลังศุภรัตน ทำเป็นตึกรูปเก๋งจีน แต่พื้นที่นอกจากสร้างคลังศุภรัตนยังคงเป็นสวนกุหลาบต่อมาอย่างเดิม

ต่อมาในรัชกาลที่ 4 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเจริญพระชันษาถึงเวลาจะเสด็จมาประทับอยู่พระราชวังชั้นนอก แต่พระบรมพระชนกนาถมีพระประสงค์ที่จะให้เสด็จประทับอยู่ในที่ใกล้พระองค์ จึงโปรดฯให้จัด ตำหนักพระราชทานเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ในสวนกุหลาบ ตรงตึกคลังศุภรัตน ซึ่งสร้างไว้ในสมัยรัชกาลที่ 3 และได้เรียกพระตำหนักนี้ว่าพระตำหนักสวนกุหลาบและหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ก็โปรดฯให้กรมหลวงอดิศรอุดมเดชเสด็จไปประทับอยู่ที่พระ ตำหนักสวนกุหลาบแทนจนออกจากวัง และจากนั้นมาก็ใช้เป็นคลังเก็บของเรื่อยไป.....

2. ประวัติโรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคมก็ยาว อ่านเต็มๆได้จากลิงค์ของโรงเรียน
http://www.pp.ac.th/cgi-bin/history.cgi

ประวัติโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมในปี พ.ศ. 2438 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมืองพิษณุโลกได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น มณฑลพิษณุโลก มีท่านเจ้าพระยาสุรสีห์สิทธิศักดิ์ เป็นสมุหเทศาภิบาลคนแรก ได้อาราธนา พระครูอ่อน จากสำนักวัดอนงคาราม จังหวัดธนบุรี(เดิม) มาว่าการพระศาสนาประจำอยู่ ณ วัดนางพญา ท่านพระครูอ่อน มีความสนใจในการศึกษามากจึงได้เริ่มก่อตั้งสำนักศึกษาขึ้นที่ วัดนางพญา ศาลาโรงโขน วัดพระศรีรัตนมหาธาตุบริเวณเชิงสะพานนเรศวรด้านตะวันออกต่อมาพระครูอ่อนได้เลื่อน สมณศักดิ์เป็นพระครูโลกเชษฐ์ชินราชบริบาล ในปี พ.ศ. 2442 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาจึงได้ทรงจัดตั้ง โรงเรียนขึ้นทั่วพระราชอาณาจักร ทางราชการเห็นว่าสำนักศึกษา ของพระครูโลกเชษฐ์ชินราชบริบาล มีความเป็นปึกแผ่นดี จึงได้ยกฐานะสำนักศึกษาแห่งนี้ เป็นโรงเรียน มีชื่อว่า “โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลพิษณุโลก”และสร้างตัวโรงเรียนขึ้นใหม่ บริเวณทางใต้ของศาลาโรงโขนวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เขตติดต่อวัดนางพญา (มีพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ 3 งาน 80 ตารางวา) โดยมีพระครูโลกเชษฐ์ชินราชบริบาลเป็น “ครูใหญ่คนแรก” จึงนับได้ว่าโรงเรียนมีกำเนิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2442

ระยะหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ทางราชการยกเลิก “มณฑล” เป็นเปลี่ยน
“จังหวัด” ชื่อโรงเรียนจึงเปลี่ยนเป็น “โรงเรียนประจำจังหวัดพิษณุโลก” ต่อมากระทรวงศึกษาธิการตั้งชื่อเฉพาะขึ้นใหม่เป็น “โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม” มาจนกระทั่งปัจจุบัน

ปี พ.ศ. 2473-2474 ทางราชการได้สร้างสะพานข้ามแม่น้ำน่าน บริเวณใต้ วัดพระศรีรีตนมหาธาตุ มีชื่อว่า “สะพานนเรศวร” อยู่ตรงหน้าโรงเรียนพอดี โรงเรียนจึงต้องย้าย ครั้งที่ 1 ไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นวัดที่ร้าง “วัดราชคฤห์” ปัจจุบันเป็นบริเวณโรงเรียนจ่าการบุญ และยังต้องยืมศาลาโรงโขนเรียนด้วยเป็นเวลากว่า 33 ปี

ประมาณกลางปี 2475 ทางราชการได้สั่งย้ายโรงเรียนฝึกหัดครูมูล “พิษณุวิทยายน” ไปอยู่บริเวณ “สระแก้ว” (บริเวณโรงพยาบาลพุทธชินราช) จึงยกอาคารสถานที่ในบริเวณ วังจันทน์ให้เป็นสมบัติของโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมทั้งหมด โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมจึงย้ายครั้งที่ 2 มาตั้งอยู่ ณ สถานที่ปัจจุบันมานานถึง 67 ปี ดังนั้นในปี พ.ศ. 2542 โรงเรียนก่อตั้งมามี ”อายุครบ 100 ปี” พอดี

Tuesday, February 24, 2009

เข้าใจระบบเศรษฐกิจจากควาย

เมื่อวานเช็คอีเมล์ ได้รับเมล์จากเพื่อนสาวที่เรียนที่มศก. อ่านแล้วก็ให้ข้อคิดดีแล้วก็ติดตลกอีกต่างหาก ว่าจะเอามาลงบล็อกเลย แต่ต้องทำภาระกิจที่สำคัญกว่าก่อน คือโซเฟียหรือน้องอ้วนของดิฉันเกินตื่นนอนขึ้นมาเพราะไอ และแน่นคัดจมูก อยากให้ม่าม๊านอนเป็นเพื่อนด้วย ม่าม๊าก็ไปนอนเป็นเพื่อนและก็หลับไปเลย วันนี้พอมีเวลามาทำต่อ ก็ตามหัวข้อเรื่องเลย เป็นเรื่องของควายกับระบบเศรษฐกิจ ได้อ่านและแปลให้สามีฟังพร้อมถามความเห็นว่าถ้าเป็นนอร์เวย์จะทำยังไงกับไอ้ควาย 2ตัวที่มีอยู่ ได้คำตอบมาด้วยเขียนไว้ทิ้งท้ายสุด ลองอ่านดู

สังคมนิยม
คุณมีควาย 2 ตัว และคุณให้เพื่อนบ้าน 1 ตัว
คอมมิวนิสต์
คุณมีควาย 2 ตัว รัฐเอาไปหมดทั้ง 2 ตัว และให้นมควายคุณบ้าง
ฟาสซิสต์
คุณมีควาย2 ตัว รัฐเอาไปหมด และขายนมให้คุณบ้าง
นาซี
คุณมีควาย 2 ตัว รัฐเอาไปทั้ง 2 ตัว และยิงคุณ
บูโรแครต
คุณมีควาย 2 ตัว รัฐเอาไปทั้ง 2 ตัว ยิงตายไปหนึ่ง รีดนมตัวที่เหลือ และก็ละเลยไม่หาประโยชน์จากนมที่ได้มา
ทุนนิยม
คุณมีควาย 2 ตัว คุณขายไปหนึ่งตัว และเอาเงินซื้อพ่อควายมา ฝูงควายเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจขยายตัว คุณขายฝูงควายได้เงินมา แล้วก็เกษียณอายุตัวเอง
เอกชนอเมริกัน
คุณมีควาย 2 ตัว ขายไป 1 ตัว และบังคับให้ตัวที่เหลือผลิตนมในปริมาณเท่ากับ 4 ตัวผลิต ต่อมาก็จ้างที่ปรึกษามาวิเคราะห์ว่าทำไมควายจึงตาย
เอกชนฝรั่งเศส
คุณมีควาย 2 ตัว คุณนัดการให้มีประท้วง จราจลกีดขวางถนน เพราะว่าคุณต้องการควาย3 ตัว
เอกชนญี่ปุ่น
คุณมีควาย2 ตัว คุณออกแบบและปรับแต่ง จนมันมีขนาดเท่ากับ 1 ใน 10 ของควายขนาดธรรมดา แต่ผลิตนมได้ 20 เท่าของควายปรกติ แล้วคุณก็สร้างตัวละครการ์ตูนชื่อว่า " Buffkimon" ขายไปทั่วโลก
เอกชนเยอรมัน
คุณมีควาย 2 ตัว คุณรีเอ็นจิเนียร์มันจนมีอายุ 100 ปี กินอาหารเดือนละครั้งและรีดนมตัวเอง
เอกชนรัสเซีย
คุณมีควาย 2 ตัว คุณนับมันและพบว่ามี 5 ตัว คุณก็นับมันอีกครั้งพบว่ามี 42 ตัว และคุณก็นับมันอีกจนพบว่ามี 2 ตัว คราวนี้คุณหยุดนับและเปิดเหล้าวอดก้าอีกขวด
เอกชนสวิส
คุณมีควาย 5,000 ตัว ไม่มีตัวใดเป็นของคุณเลย แต่คุณเก็บเงินจากเจ้าของเป็นค่าดูแล
เอกชนจีน
คุณมีควาย 2 ตัว มี 300 คนรุมรีดนม คุณประกาศว่าคุณมีการจ้างงานเต็มที่ แถมควายของคุณมีผลิตผลสุดยอดและจับผู้สื่อข่าวที่รายงานสถานการณ์จริงเข้าคุก
เอกชนอินเดีย
คุณมีควาย 2 ตัว เพื่อเอาไว้เทิดทูนบูชา
เอกชนอังกฤษ
คุณมีควาย 2 ตัว ทั้ง 2 ตัวบ้าหมด ( โรควัวบ้าเป็นที่รู้จักกันครั้งแรกในอังกฤษ)
เอกชนอิรัก
ทุกคนคิดว่าคุณมีควายหลายตัว คุณบอกว่าคุณไม่มี แต่ไม่มีใครเชื่อคุณ ดังนั้นจึงถูกบอมบ์แหลกยับเยิน ถูกบุกยึดประเทศ ถึงกระนั้นคุณก็ยังไม่มีควาย แต่อย่างน้อยที่สุด ปัจจุบันคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย

(อันนี้แถม)

เอกชนไทย
คุณมีควาย 2 ตัว ตัวหนึ่งสีแดง ตัวหนึ่งสีเหลือง วันๆ มันไม่ยอมให้น้ำนม เอาแต่วิ่งเอาเขาชนกัน จนฟาร์มคุณพังวายวอด

<อันนี้แถมอีก>

เอกชนนอร์เวย์
คุณมีควาย 2 ตัว ทั้งสองตัวส่งขึ้นเครื่องบินไปเมืองจีน และไปรีดนมที่นั่น ได้นมส่งกลับมาขายภายในประเทศนอร์เวย์

Thursday, February 12, 2009

ตากะยาย

วันนี้เช็คอีเมล์ ปรากฏว่าได้รับข้อความส่งต่อจากเพื่อนสมัยทำงานที่แรก (บริษัทไทยนาม จำกัด มหาชน) เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตคู่ อ่านแล้วเห็นว่าเป็นคำสอนที่ดี คำที่ว่า"ให้อภัยและอดทน" คำนี้กินใจและเข้าใจ (ว่าสามีดิฉันตัองอดทนกับดิฉันมากมายขนาดไหน และดิฉันก็ต้องให้อภัยเขาเสมอมา) อ่านถึงประโยคสุดท้ายก็ทำให้ดิฉันยิ้มและก็หัวเราะออกมาได้ ที่เพื่อนเขียนบอกว่า "อ่านนะจ๊ะน่ารักมากเลย" ก็เลยเข้าใจ น่ารักจริงๆ วิธีการเขียนสอนแบบนี้ดีจัง ไม่เครียดและก็เข้าใจง่าย แถมได้ยิ้มและก็หัวเราะอีก หวังว่าใครที่ได้มาอ่านคงเข้าใจบวกทำใจกับการใช้ชีวิตคู่ และได้ยิ้มกับหัวเราะกับประโยคสุดท้าย (ตอนอ่านยังไม่จบ ยังสงสัยว่าเงินล้านทำไมยายแกไม่ฝากธนาคารถ้าแกได้จากย่าของแก) มาลองอ่านดู

มีชาย-หญิงคู่นึงแต่งงานอยู่ด้วยกัน
กระทั่งถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรกันเลยเชียวหล่ะ
ฝ่ายหญิงมีกล่องเก็บของอยู่ใบหนึ่งวางในตู้เสื้อผ้า
และกำชับแกมขอร้องสามีว่าอย่าได้เปิดดูหรือถามใดใดทั้งสิ้น
ฝ่ายสามีก้อช่างน่ารักเสียเหลือเกิน
ไม่เคยปริปากถามเรื่องกล่องใบนั้นอีกเลย
วันเวลาผ่านไปหลายสิบปี อยู่มาวันหนึ่งฝ่ายหญิงป่วยมาก
หมอลงความเห็นว่าเธอคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นานเธอจึงวานให้สามีช่วยไปหยิบกล่องใบนั้นจากตู้เสื้อผ้า
หลังจากที่ฝ่ายชายกลับมาพร้อมกับยื่นกล่องให้เธอ
เธอเปิดฝากล่องขึ้นมาพบว่ามี
ตุ๊กตาถักไหมพรมกับเงินอีกจำนวนหนึ่ง (ประมาณว่า 1,000,000 บาท)
บรรจุอยู่ข้างใน

ฝ่ายหญิงเริ่มเอ่ย "ในวันแต่งงานของเรา
คุณย่าของฉันได้ให้บทเรียนสอนใจ
ท่านว่าครอบครัวสมรสเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
หนักนิดเบาหน่อยต้องให้อภัยและอดทนให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ไว้เนื้อเชื่อใจ
มีความรักให้แก่กัน
และที่สำคัญคือมีความเข้าใจกัน "เธอหยุดพูด
พร้อมกับยื่นมืออันแทบจะไร้เรี่ยวแรงลูบตุ๊กตาไหมพรมไปมา
"คุณย่าได้แนะเคล็ดลับให้ว่า
เมื่อใดที่ความรู้สึกไม่พอใจเกิดขึ้น
หรือรู้สึกโกรธมากๆ
ขึ้นมา ให้ถักตุ๊กตาไหมพรมเก็บไว้ 1 ตัวเสมอ"

ฝ่ายชายเหลือบมองเข้าไปในกล่อง
มีตุ๊กตาไหมพรม 2 ตัววางอยู่
เขาเบือนหน้าไปอีกทาง
เพื่อหลบหยดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ
เขารู้สึกซาบซึ้งน้ำใจของภรรยามีต่อเขาเป็นยิ่งนัก
ชีวิตสมรสที่ยาวนานกว่า 50 ปี
มีตุ๊กตาไหมพรมเพียง 2 ตัว
เท่านั้นแทนจำนวนครั้งที่ภรรยาได้โกรธเคืองเขา

หลังจากปาดคราบน้ำตาแล้ว เขาหันกลับมา
ฝ่ายภรรยาพูดต่อ
" เธอคงแปลกใจกับเงินก้อนนี้สินะ"
ฝ่ายหญิงหยิบมันขึ้นมา
แล้วพูดต่อว่า
"มันเป็นเงินที่ได้มาจากการทยอยขายตุ๊กตาไปทีละตัวๆ ค่ะ"