Monday, November 08, 2010

ถ้าคุณรักประเทศไทย

ดิฉันอยากเขียน หรืออยากนำเสนองานเขียนใดๆที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ในการพัฒนาประเทศและคนในชาติบ้านเกิดเมืองนอน เพราะเชื่อว่าการที่คนเราได้อ่านเนื้อหาที่ดีมีประโยชน์จะได้คิด เป็นการช่วยส่งเสริมการปลุกจิตสำนึก หรือแม้อาจเป็นเพียงการ “ปลูก”จิตสำนึก แต่อย่างน้อยก็ได้เริ่มต้น อาจจะรู้สึกว่าอีกนานกว่าจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิต แต่คนเราเมื่อมีจุดมุ่งหมายก็มีความหวัง เมื่อชีวิตมีความหวังอะไรๆ มันก็จะดีขึ้น

เนื้อหาที่จะอ่านต่อไปนี้มีพูดถึงปัญหา “ระบบการศึกษาและการอบรมปลูกฝัง” มีผลต่อทัศนะของคนในชาติ คัดลอกมาจากฟอร์เวิล์ดที่ได้จากเพื่อนเรียนร่วมรุ่นเดียวกัน ARTS18 รุ่นปัจจุบัน ARTS43 คิดดูแล้วกันรุ่นน้องเรียกป้าได้แล้วอ่ะ นอกเรื่องไปหน่อย มาลองอ่านดูว่าเขาเขียนว่าไง...
“เสียงสะท้อนจากคนไทยคนหนึ่งเพื่อก่อให้เกิดการปฏิรูปประเทศไทย ความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา ไม่ได้อยู่ที่การไม่เคยเสียเอกราชให้กับใคร สามารถดูได้จากประเทศญี่ปุ่นเยอรมัน แม้จะแพ้สงครามแต่ก็กลับมายิ่งใหญ่ในเศรษฐกิจโลก ไม่ได้อยู่ที่ความเก่าแก่ของอารยธรรมของประเทศนั้นๆ สามารถดูได้จากประเทศอินเดีย อียิปต์ ซึ่งมีอารยธรรมมานานกว่า 3000ปี แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังยากจน ในขณะที่ประเทศเกิดใหม่เช่นสิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ที่เป็นประเทศเล็กๆ ไม่มีศักยภาพอะไรเลยเมื่อ 100ปีที่แล้ว แต่วันนี้กลับพัฒนากลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ร่ำรวยได้ และความแตกต่างระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศด้อยพัฒนา ก็ไม่ได้อยู่ที่ทรัพยากรของประเทศอีกนั่นล่ะ ญี่ปุ่นมีพื้นที่เกษตรกรรมน้อยมาก 80% ของพื้นที่เป็นภูเขาไม่เหมาะในการทำเกษตรกรรม แต่ญี่ปุ่นกับเป็นประเทศที่ส่งออกอาหารและสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก สวิสเซอร์แลนด์อากาศหนาวจัด จนใน 1ปี ทำการเกษตรได้เพียง 4 เดือน และไม่มีการทำไร่โกโก้เลย แต่กลับทำช็อกโกแล็ตส่งออกรายใหญ่ของโลก และยังนำความซื่อสัตย์ ความตรงต่อเวลา ความมีระเบียบของคนมาใช้ประโยชยน์ จนได้รับการยอมรับให้เป็นธนาคารของโลก สีผิวแลเผ่าพันธ์ก็ไม่ใช่เหตุผลอีกแหละ เพราะเมื่อแรงงานที่เคยขี้เกียจในประเทศของตนย้ายไปอยู่และหากินในประเทศที่เจริญแล้วกลับกลายเป็นแรงงานที่ขยันด้วยซ้ำไป
แล้วอะไรที่ทำให้แตกต่าง สิ่งที่แตกต่างคือ ทัศนคติที่ฝังรากลึกมานานปี ผ่านระบบการศึกษา และการอบรมปลูกฝัง จากการวิเคราะห์ พฤติกรรมของคนในประเทศที่พัฒนาแล้ว พบว่าคนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่บนหลักปรัชญา ได้แก่
1.ใช้จริยธรรมนำทางชีวิต (Ethics as the basic principle)
2.ความซื่อสัตย์ (Integrity)
3.ความรักในงาน (Work Loving)
4.ความรับผิดชอบในหน้าที่ (Responsibility)
5.จิตใจมุ่งมั่น สู่ความเป็นที่หนึ่ง ( Will of super action)
6.การเคารพต่อกฏระเบียบ (Respect to the law and rules)
7.การเคารพต่อสิทธิของผู้อื่น (Respect to the rights of other citizens)
8.การตรงต่อเวลา (Punctuality)
9.การออมและความสนใจในการลงทุน (Strive for saving and investment)
แต่น่าเสียดายที่ในประเทศที่ด้อยพัฒนามีคนจำนวนน้อยที่ใช้หลักปรัชญาเหล่านี้ในการดำเนินชีวิต
ประเทศไทยของเรายัง เป็นประทศด้อยพัฒนา ไม่ใช่เพราะเราขาดทรัพยากร หรือมีภัยธรรมชาติ เป็นปัญหา แต่เพราะเราขาดทัศนคติ และแรงผลักดันที่สอดคล้องไปตามหลักปรัชญาการดำเนินชีวิตที่กล่าวมา”

อ่านแล้วอาจจะมีความคิดขัดแย้งอยู่ในใจบ้าง เรื่องปัจจัยตัวแปรอื่นๆ หรือข้อมูลตัวเลข 80% 3000ปี 4เดือนถูกต้องหรือเปล่าไม่ได้เช็ค ยังไงก็ช่างเถอะ จุดมุ่งหมายของผู้เขียนคือ “อยากเห็นประเทศไทยของเราเปลี่ยนเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว” ส่วนตัวดิฉันอยากให้ประเทศไทยของเรามีความสงบสุขร่มเย็น คนในชาติมีความรักความสามัคคี มีความเสมอภาคทั้งในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจและสังคม

หมายเหตุรูปภาพประกอบ คือรูปวาดปรมาจารย์ขงจื๊อซึ่งก็ได้จากฟอร์เวิล์ดเมล์ฉบับนี้นั่นแหละ
คำสอนของปรมาจารย์ขงจื๊อ
หากเจ้าวางแผนไว้ 1ปี จงปลูกข้าว
หากเจ้าวางแผนไว้ 10ปี จงปลูกต้นไม้
หากเจ้าวางแผนไว้ 100ปี จงให้ความรู้กับบุตรหลาน